Patients safety goal

Patients safety goal
  ผู้บันทึก :  นางยุพิน ทรัพย์แก้ว
  กลุ่มงาน :  กลุ่มวิชาการพยาบาลผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ
  ฝ่าย :  ฝ่ายวิชาการ
  ประเภทการปฎิบัติงาน :  ประชุม
  เมื่อวันที่ : 3 พ.ค. 2553   ถึงวันที่  : 4 พ.ค. 2553
  หน่วยงาน/สถาบันที่จัด :  โรงพยาบาลมหาราช นครศรีธรรมราช
  จังหวัด :  นครศรีธรรมราช
  เรื่อง/หลักสูตร :  Patients safety goal
  วันที่บันทึก  18 พ.ค. 2553


 รายละเอียด
               1. Infection control of EID and RE-RID in Health care facilities 2. Infection control of emerging/ re- emerging infectious disease 1.1องค์ประกอบสำคัญ ของ Infection control สำหรับ emerging/re- emerging -Administrative control -Early recognition -Early implementation 1.2 Administrative control -โรงพยาบาลมีแนวนโยบายเรื่อง IC ที่ชัดเจน กำหนดผู้รับผิดชอบ หลักจัดทำแผน จัดอัตรากำลัง สถานที่ วัสดุ ครุภัณฑ์ -มีแนวทางปฏิบัติ -ฝึกอบรม ฝึกปฏิบัติ แก่เจ้าหน้าที่ทุกระดับที่เกี่ยวข้อง -มีการตรวจสอบการปฏิบัติตามแนวทาง -มีการซ้อมแผน ประเมินและปรับปรุงแผน 1.3 Early recognition -นิยามผู้ป่วยที่เฝ้าระวัง -ติดตามข่าวสารโรคระบาด -มีแนวทางการแยกผู้ป่วยที่ต้องสงสัยจากผู้อื่นให้เร็วที่สุด -การปฏิบัติตามแนวทาง IC อย่างทันท่วงที และเหมาะสม -มีแนวทางการรายงานและประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภายในและภายนอก -มีแนวทางการเฝ้าระวังผู้สัมผัส การให้ยาป้องกันหลังสัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วย 1.4 Contact Precaution – Hand hygiene and gloves -Patient care equipments -Environmental control -Gowns -Patient placement 1.5 Droplet Precautions -บุคลากรสวม surgical mask เมื่อดูแลผู้ป่วยในระยะ 3-6 ฟุต หรืออยู่ในห้องเดียวกัน ควรใช้ eyes protection เมื่อทำกิจกรรมที่ก่อให้เกิดฝอยละออง -อาจแยกผู้ป่วยไว้ในห้องแยกเดี่ยวหรือห้องแยกรวม ตามความเหมาะสม ห้องแยกสามารถเปิดประตูได้ -ไม่จำเป็นต้องใช้ห้อง AIIR -ควรให้ผู้ป่วยสวม surgical mask เน้นการทำความสะอาดมือและสุขอนามัยส่วนบุคคล


   ความรู้ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการปฏิบัติงาน
              การนิเทศนักศึกษาที่ฝึกปฏิบัติรายวิชาต่างๆ หอผู้ป่วยศัลยกรรมหญิง


  ความรู้ที่จะนำไปพัฒนาต่อ ?
              การเรียนการสอนรายวิชาปฏิบัติการพยาบาลบุคคลที่มีปัญหาสุขภาพ 1-3

(0)

ศึกษาดูงาน ศูนย์มะเร็งจังหวัดสุราษฎร์ธานี

ศึกษาดูงาน ศูนย์มะเร็งจังหวัดสุราษฎร์ธานี
ผู้บันทึก :  นางวันดี แก้วแสงอ่อน และคณะ
  กลุ่มงาน :  กลุ่มวิชาการพยาบาลผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ
  ฝ่าย :  ฝ่ายวิชาการ
  ประเภทการปฎิบัติงาน :  ศึกษาดูงาน
  เมื่อวันที่ : 8 ก.พ. 2553   ถึงวันที่  : 8 ก.พ. 2553
  หน่วยงาน/สถาบันที่จัด :  ศูนย์มะเร็งจังหวัดสุราษฎร์ธานี
  จังหวัด :  สุราษฎร์ธานี
  เรื่อง/หลักสูตร :  ศึกษาดูงาน ศูนย์มะเร็งจังหวัดสุราษฎร์ธานี
  วันที่บันทึก  20 เม.ย. 2553


 รายละเอียด
               ศูนย์มะเร็งจังหวัดสุราษฎร์ธานี มีหลักเกณฑ์การรับผู้ป่วยดังนี้ 1. ผู้ป่วยโรคมะเร็งทุกชนิด เพื่อการผ่าตัด การฉายแสง และ การให้เคมีบำบัด 2. ผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่รักษาแบบประคับประคอง โดยเปิดให้บริการทั้งผู้ป่วยนอก และผู้ป่วยใน งานผู้ป่วยนอกแบ่งเป็น 3 งาน คือ1) ผู้ป่วยนอกทั่วไป 2) ผู้ป่วยนอกรังสีรักษา และ3) ผู้ป่วยนอกเคมีบำบัด ส่วนงานผู้ป่วยใน มี 3 หอผู้ป่วย คือ หอผู้ป่วยสามัญหญิง ชาย และหอผู้ป่วยพิเศษ นอกจากนี้มีคลินิกพิเศษ ได้แก่ 1)คลินิกศัลยกรรมและเต้านม บริการสอบถามประวัติมะเร็งเต้านมในครอบครัว,ความผิดปกติ ตรวจเต้านมโดยแพทย์ ให้คำแนะนำตรวจเต้านมด้วยตนเอง ตรวจแมมโมแกรมและอุลตราซาว์ดเต้านม เจาะน้ำจากก้อนที่เต้านมส่งตรวจเซลล์มะเร็ง และ ผ่าตัดก้อนที่เต้านมส่งตรวจชิ้นเนื้อทางพยาธิวิทยา 2)คลินิกนรีเวช บริการสอบถามประวัติการตั้งครรภ์ การคลอด การคุมกำเนิด ตรวจภายใน ตรวจมะเร็งปากมดลูก ส่องกล้องดูปากมดลูกและตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจทางพยาธิวิทยา ตัดปากมดลูกด้วยขดลวดไฟฟ้า การให้บริการของศูนย์ในแผนกอื่นๆที่สำคัญ ได้แก่ การให้บริการของแผนกรังสีรักษา ในกิจกรรมดังนี้ 1) ตรวจรักษา พยาบาล ผู้ป่วยมะเร็งที่รักษาด้วยรังสีรักษา ผู้ป่วยฉายแสง ผู้ป่วยใส่แร่ 2)ให้คำแนะนำ ปรึกษาด้านรังสีรักษา เปิดบริการ วันจันทร์-ศุกร์ 8.00-16.00 น. การให้บริการแผนกเคมีบำบัด ในกิจกรรมดังนี้ 1. ตรวจรักษา ผู้ป่วยมะเร็งที่ให้ยาเคมีบำบัด 2.การบริการให้ยาเคมีบำบัดแบบไป-กลับ 3.ให้คำแนะนำปรึกษาด้านเคมีบำบัด เปิดบริการวันจันทร์,พฤหัส 8.00-16.00น. วันศุกร์ เวลา 8.00-12.00น. ขั้นตอนการให้บริการของศูนย์มะเร็งจังหวัดสุราษฎร์ธานี มีดังนี้ 1)ผู้ป่วยใหม่กรอกประวัติในแบบฟอร์มยื่นที่ห้องบัตร 2)ผู้ป่วยเก่ายื่นบัตรประจำตัวผู้ป่วยเพื่อค้นแฟ้มประวัติที่ห้องบัตร 3)นั่งรอเรียกชื่อหน้าห้องตรวจโรคเพื่อรับการซักประวัติ 4)ซักประวัติ ชั่งน้ำหนัก วัดความดัน เปลี่ยนเสื้อผ้า กรณีตรวจสุขภาพรับคำแนะนำตรวจสุขภาพ รับใบรายการตรวจนำไปจ่ายเงินค่าตรวจ และไปตรวจเลือด ,เอ็กซเรย์, ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ แล้วมาพบแพทย์ตรวจร่างกาย ถ้าไม่มีการตรวจเพิ่มเติมก็กลับบ้าน รอผลการตรวจทางไปรษณีย์ กรณีที่ตรวจทั่วไป คลินิกพิเศษ นั่งรอเรียกชื่อเข้าห้องตรวจ(พบแพทย์) และถ้าแพทย์ต้องการให้ตรวจเพิ่มเติม รับใบรายการตรวจ จ่ายเงินค่าตรวจ และไปตรวจที่แผนกต่างๆ แล้วกลับมาพบแพทย์เพื่อสรุป วินิจฉัย รับใบสั่งยา รับยากลับบ้าน การใช้สิทธิในการรักษาพยาบาล ผู้ป่วยที่มีสิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) จะต้องมีใบส่งตัว(ใบสีชมพู-เหลือง) และมีการรับรองสิทธิจากต้นสังกัด จึงจะใช้สิทธิการรักษาพยาบาลได้ โดยต้องผ่านการตรวจสอบสิทธิจากแผนกสังคมสงเคราะห์ของศูนย์มะเร็งฯ ผู้ป่วยที่เป็นข้าราชการที่จะใช้สิทธิจ่ายตรง จะต้องลงทะเบียนที่ศูนย์มะเร็งอย่างน้อย 15 วันจึงจะใช้สิทธิได้


   ความรู้ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการปฏิบัติงาน
              การเรียนการสอนในรายวิชาการพยาบาลบุคคลที่มีปัญหาสุขภาพ 2 และการขึ้นฝึกปฏิบัติในรายวิชาการพยาบาลบุคคลที่มีปัญหาสุขภาพ 2


  ความรู้ที่จะนำไปพัฒนาต่อ ?
              การเรียนการสอนรายวิชาการพยาบาลบุคคลที่มีปัญหาสุขภาพ 2


(0)

“การใช้หลักฐานเชิงประจักษ์: ก้าวใหม่ในการพยาบาลสุขภาพจิตและจิตเวช”

“การใช้หลักฐานเชิงประจักษ์: ก้าวใหม่ในการพยาบาลสุขภาพจิตและจิตเวช”
  ผู้บันทึก :  นางสาวอุษา จันทร์แย้ม
  กลุ่มงาน :  กลุ่มวิชาสุขภาพจิตและจิตเวช
  ฝ่าย :  ฝ่ายวิชาการ
  ประเภทการปฎิบัติงาน :  ประชุม
  เมื่อวันที่ : 17 ส.ค. 2555   ถึงวันที่  : 19 ส.ค. 2555
  หน่วยงาน/สถาบันที่จัด :  วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุราษฎร์ธานี
  จังหวัด :  สุราษฎร์ธานี
  เรื่อง/หลักสูตร :  “การใช้หลักฐานเชิงประจักษ์: ก้าวใหม่ในการพยาบาลสุขภาพจิตและจิตเวช”
  วันที่บันทึก  19 มิ.ย. 2555


 รายละเอียด
สมรรถนะ ของพยาบาลวิชาชีพ หมายถึง ความรู้ ความสามารถ และเจตคติของพยาบาลวิชาชีพที่สำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรี ที่จะทำให้สามารถปฏิบัติการพยาบาลได้ตามขอบเขตของวิชาชีพอย่างปลอดภัย มีความรับผิดชอบ เป็นผู้ร่วมงานที่มีประสิทธิภาพ มีศักยภาพในการพัฒนาตนเองและพัฒนางานได้อย่างต่อเนื่อง เป็นสมาชิกที่ดีของสังคม โดยสามารถแบ่งได้เป็น ๘ ด้าน (สภาการพยาบาล, ๒๕๕๒) ได้แก่

๑) สมรรถนะด้านจริยธรรม จรรยาบรรณและกฎหมาย

๒) สมรรถนะด้านการปฏิบัติการพยาบาลและการผดุงครรภ์

๓) สมรรถนะด้านคุณลักษณะเชิงวิชาชีพ

๔) สมรรถนะด้านผู้นำ การจัดการและการพัฒนาคุณภาพ

๕) สมรรถนะด้านวิชาการและการวิจัย

๖) สมรรถนะด้านการสื่อสารและสัมพันธภาพ

๗) สมรรถนะด้านเทคโนโลยีและสารสนเทศ

๘) สมรรถนะด้านสังคม

 

 

ขอบเขตและสมรรถนะสาขาการพยาบาลจิตเวชและสุขภาพจิต

สมรรถนะที่ ๑    มีความสามารถในการพัฒนา จัดการ และกำกับระบบการดูแลกลุ่มเป้าหมาย หรือเฉพาะกลุ่มหรือเฉพาะโรค (Care management)

สมรรถนะที่ ๒    มีความสามารถในการดูแลกลุ่มเป้าหมาย หรือกลุ่มเฉพาะโรคที่มีปัญหาสุขภาพจิตหรือจิตเวชที่ซับซ้อน (Direct care)

สมรรถนะที่ ๓    มีความสามารถในการประสานงาน (Collaboration)

สมรรถนะที่ ๔    มีความสามารถในการเสริมสร้างพลังอำนาจ (Empowering) การสอน (Educating) การฝึก (Coaching) การเป็นพี่เลี้ยงในการปฏิบัติ (Mentoring)

สมรรถนะที่ ๕    มีความสามารถในการเป็นที่ปรึกษาในการดูแลกลุ่มเป้าหมาย หรือเฉพาะกลุ่มที่ตนเองเชี่ยวชาญ (Consultation)

สมรรถนะที่ ๖    มีความสามารถในการเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง (Change agent)

สมรรถนะที่ ๗    มีความสามารถในการให้เหตุผลทางจริยธรรมและการตัดสินใจเชิงจริยธรรม (Ethical reasoning and ethical decision making)

สมรรถนะที่ ๘   มีความสามารถในการใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ (Evidence-based practice)

สมรรถนะที่ ๙    มีความสามารถในการจัดการและประเมินผลลัพธ์ (Outcome management and evaluation)

 

การปฏิบัติที่แสดงถึงการสมรรถนะที่ ๘ ความสามารถในการใช้หลักฐานเชิงประจักษ์

- ติดตาม รวบรวม ผลการวิจัยหรือหลักฐานเชิงประจักษ์การพยาบาลอย่างต่อเนื่อง

- ใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ในการพัฒนาคุณภาพการรักษาพยาบาล

- เผย แพร่แนวปฏิบัติการพยาบาลที่มาจากหลักฐานเชิงประจักษ์เพื่อให้เกิดการแลก เปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างผู้ปฏิบัติหรือผู้เชี่ยวชาญในสาขาการพยาบาลเดียวกัน

- นำหลักการจัดการความรู้มาใช้ร่วมกับกระบวนการพัฒนาคุณภาพตามหลักฐานเชิงประจักษ์

- วิเคราะห์และประเมินผลที่ได้รับจากการปฏิบัติตามหลักฐานเชิงประจักษ์และเผยแพร่

การปฏิบัติตามหลักฐานเชิงประจักษ์ คือ การบูรณาการอย่างเป็นระบบระหว่างความรู้/ หลักฐานเชิงประจักษ์ที่ดีที่สุดในขณะใดขณะหนึ่ง อาจจะเป็นหลักฐานจากงานวิจัยที่มีการออกแบบมาอย่างดี หรือหลักฐานอื่นๆที่น่าเชื่อถือร่วมกับความเชี่ยวชาญทางคลินิก และค่านิยม/ ความเชื่อของผู้ป่วย/ ผู้รับบริการในการตัดสินใจให้การดูแลเพื่อแก้ไขปัญหาสุขภาพเฉพาะอย่าง (ฟองคำ ดิลกสกุลชั้ย,๒๐๐๖)

ขั้นตอนการปฏิบัติตามหลักฐานเชิงประจักษ์

๑. การกำหนดปัญหาทางคลินิก จะใช้กรอบ PICO คือ กลุ่มประชากรคือใคร (Population) การจัดกระทำ/ กิจกรรมการพยาบาลคืออะไร (Intervention) เปรียบเทียบกับกิจกรรมอะไร (Comparison) และผลลัพธ์ที่ต้องการคืออะไร (Outcome)

๒. การสืบค้นหลักฐานเชิงประจักษ์ จากแหล่งสืบค้นข้อมูลต่างๆ เช่น Electronic database (Guideline, Systematic review และ Original paper) และ Hand search (Proceeding, Reference lists, Personal contact และ Master and doctoral thesis)

๓. การวิเคราะห์และการประเมินคุณภาพหลักฐานเชิงประจักษ์ จะต้องมีการจัดระดับความน่าเชื่อถือของหลักฐานเชิงประจักษ์ ตัวอย่างเช่น การจัดระดับความน่าเชื่อถือของหลักฐานเชิงประจักษ์ (Melnyk & Fineout, 2010)

ระดับที่ ๑ หลักฐานจากการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ หรือจากงานวิเคราะห์เมตาของงานวิจัยที่เป็น RCT หรือจากแนวปฏิบัติที่พัฒนามาจากการทบทวนวรรณกรรมของงานวิจัยที่เป็น RCT

ระดับที่ ๒ หลักฐานที่มาจากงานวิจัยเชิงทดลองที่มีการออกแบบรัดกุม มีการสุ่มเข้ากลุ่มตัวอย่างและกลุ่มควบคุมอย่างน้อย ๑ เรื่อง

ระดับที่ ๓ หลักฐานที่ได้จากงานวิจัยเชิงทดลองที่ออกแบบรัดกุมแต่ไม่ได้มีการสุ่มเข้ากลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม

ระดับที่ ๔ หลักฐานจากงานวิจัย case control หรือ cohort studies

ระดับที่ ๕ หลักฐานจากการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบจากงานวิจัยเชิงพรรณนาหรืองานวิจัยเชิงคุณภาพ

ระดับที่ ๖ หลักฐานจากงานวิจัยเชิงบรรยาย หรืองายวิจัยเชิงคุณภาพ

ระดับที่ ๗ หลักฐานจากความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆ หรือจากกลุ่มเชี่ยวชาญ

ซึ่งในการวิเคราะห์ วิจารณ์และประเมินหลักฐานเชิงประจักษ์ มีข้อควรพิจารณา คือ

๑) ผลการวิจัยมีความตรงหรือไม่ อย่างไร

๒) ผลการวิจัยเป็นอย่างไร

๓) สามารถนำผลการวิจัยไปประยุกต์ใช้ในหน่วยงานได้หรือไม่อย่างไร

๔. การสังเคราะห์หลักฐานเชิงประจักษ์และการสรุปเพื่อการประยุกต์ใช้ซึ่งสามารถทำตามขั้นตอนการสังเคราะห์เชิงประจักษ์ คือ

- ทบทวนคำถาม/ ประเด็นปัญหาทางคลินิกอีกครั้ง

- การสกัดข้อมูลและบันทึกข้อมูล

- การสังเคราะห์งานวิจัย

- การสรุปเพื่อนำไปใช้

- การสรุปประเด็นจากงานวิจัย

๕. การพัฒนาโครงการนำร่องเพื่อนำข้อสรุปที่ได้จากการสังเคราะห์ไปทดลองใช้ในสถานการณ์จริง

๖. การประเมินผลโครงการและเผยแพร่

 

 


   ความรู้ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการปฏิบัติงาน
สามารถนำไปใช้ในการพัฒนาการเรียนการสอน และพัฒนาการศึกษางานวิจัยโดยใช้แนวทางในการจัดการหลักฐานเชิงประจักษ์อย่างมีระบบ


  ความรู้ที่จะนำไปพัฒนาต่อ ?
มีความสามารถในการใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ (Evidence-based practice)

(0)

Management of Patients with Personality Problems

Management of Patients with Personality Problems
 ผู้บันทึก :  นางสาวอุษา จันทร์แย้ม
  กลุ่มงาน :  กลุ่มวิชาสุขภาพจิตและจิตเวช
  ฝ่าย :  ฝ่ายวิชาการ
  ประเภทการปฎิบัติงาน :  ประชุม
  เมื่อวันที่ : 1 ก.พ. 2555   ถึงวันที่  : 3 ก.พ. 2555
  หน่วยงาน/สถาบันที่จัด : 
  จังหวัด :  สุราษฎร์ธานี
  เรื่อง/หลักสูตร :  Management of Patients with Personality Problems
  วันที่บันทึก  19 มิ.ย. 2555


 รายละเอียด

บุคลิกภาพ เป็นรูปแบบหรือลักษณะเฉพาะของพฤติกรรมที่ปรากฏอยู่ในมนุษย์ทุกคน ซึ่งส่งผลต่อการทำงานและการดำเนินชีวิตของบุคคลนั้นในทุกๆด้าน และอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาและโอกาสในการเกิดภาวะหรือโรคต่างใน ทางจิตเวชตามมา การเข้าใจทฤษฎีพื้นฐานเกี่ยวกับบุคลิกภาพจะช่วยให้เราจำแนกบุคลิกภาพที่ ปรากฏอยู่บุคคลต่างๆได้ อีกทั้งทำให้เข้าใจสาเหตุของลักษณะต่างๆของพฤติกรรมมนุษย์ ทั้งที่เป็นปกติและผิดปกติ

บุคลิกภาพ (Personality) ใน ทางจิตเวช หมายถึง แบบแผนหรือลักษณะจำเพาะของแต่ละบุคคลที่แสดงออกในการใช้ชีวิตประจำวันปกติ ซึ่งเป็นผลรวมของความรู้สึกนึกคิด การรับรู้และพฤติกรรมของบุคคลนั้น

การแบ่งบุคลิกภาพของมนุษย์สามารถแบ่งออกเป็น ๓ กลุ่ม (3 Clusters) ซึ่งแบ่งแยกบุคลิกภาพได้ทั้งสิ้น ๑๐ แบบ (10 Personalities) ได้แก่

บุคลิกภาพในกลุ่ม A (Cluster A Personality) ได้แก่ ผู้ที่มีลักษณะบุคลิกภาพแบบแยกตัว หรือมีพฤติกรรมที่แปลกแตกต่างจากบุคคลอื่น แบ่งเป็น

- Paranoid Personality

- Schizoid Personality

- Schizotypal Personality

บุคลิกภาพในกลุ่ม B (Cluster B Personality) ได้แก่ ผู้ที่มีลักษณะบุคลิกภาพแบบอารมณ์ไม่คงที่ เจ้าอารมณ์ไม่อยู่กับร่องกับรอย หรือเอาแน่นอนไม่ได้ แบ่งเป็น

- Narcissistic Personality

- Histrionic Personality

- Borderline Personality

- Antisocial Personality

บุคลิกภาพในกลุ่ม C (Cluster C Personality) ได้แก่ ผู้ที่มีลักษณะบุคลิกภาพแบบเจ้าความคิด ยึดติดกับเหตุผลและกรอบความคิดของตนเอง หรือวิตกกังวลง่าย คิดมาก แบ่งเป็น

- Avoidant Personality

- Dependent Personality

- Obsessive-Compulsive Personality

บุคลิกภาพที่ผิดปกติ (Personality Disorder: PD) หมาย ถึง การที่บุคคลมีบุคลิกภาพที่เบี่ยงเบนอย่างชัดเจนจากกรอบของสังคมและวัฒนธรรม นั้นๆในลักษณะที่ไม่สามารถยืดหยุ่นตามสถานการณ์ได้ ทำให้เกิดผลกระทบในทางลบต่อผู้ป่วย (ทุกข์ทรมานกับบุคลิกภาพของตนเอง หรือ Distress) และต่อบุคคลรอบข้าง (ถูกรบกวนโดยบุคลิกภาพของผู้ป่วย หรือ Disturb) และอาจส่งผลให้เกิดความบกพร่องในการใช้ชีวิตของผู้ป่วยอีกด้วย (Dysfunction หรือ Disable) ซึ่งเราอาจใช้เกณฑ์การวินิจฉัยโรคบุคลิกภาพผิดปกติ (Personality Disorder) ของ Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorder, fourth edition, text-revised (DSM-IV TR) และระบุการวินิจฉัยไว้ใน Axis ที่ ๒ ตามการวินิจฉัยแบบ Multi-axial Diagnosis

บุคลิกภาพที่ผิดปกติเป็นความผิดปกติที่มีความชุกสูงถึง ๑๐-๒๐% ของประชากรทั่วไป และจัดเป็นความผิดปกติที่คงอยู่แบบเรื้อรัง นอกจากนี้ยังพบว่า ๕๐% ของผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยทางจิตเวชด้วยโรคหรือภาวะใน Axis ที่ ๒ (โรคหรือภาวะทางจิตเวชทั้งหมด) พบว่ามี บุคลิกภาพที่ผิดปกติร่วมด้วย

บุคลิกภาพผิดปกติในกลุ่ม A (Cluster A Personality) ได้แก่

- Paranoid Personality มีลักษณะเด่นของความไม่วางใจและมีความสงสัยในบุคคลอื่น (Distrust and suspiciousness of others) ทำให้มองวัตถุประสงค์ของพฤติกรรมของบุคคลอื่นในทางมุ่งร้ายกับตนเอง พบในชายมากกว่าหญิง

- Schizoid Personality มีลักษณะเด่นของการขาดสัมพันธภาพทางสังคมและการจำกัดการแสดงออกทางอารมณ์ในสัมพันธภาพระหว่างบุคคล (Detachment from social relationships and a restricted range of expression of emotions in interpersonal settings) พบในชายมากกว่าหญิง (๒:๑)

- Schizotypal Personality เป็นบุคลิกภาพที่มีความสัมพันธ์กับการป่วยเป็นโรค Schizophrenia มาก ที่สุด และเป็นบุคลิกภาพที่สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ จะมีลักษณะเด่นของการขาดสัมพันะภาพทางสังคม มีความคิดและการรับรู้ที่ผิดแปลกไปจากปกติ และมีพฤติกรรมแปลกแตกต่าง (Social and interpersonal deficits, cognitive or perceptual distortion and eccentricities of behaviors) มักพบความคิดที่แปลก magical thinking, idea of reference, derealization และ depersonalizations

บุคลิกภาพผิดปกติในกลุ่ม B (Cluster B Personality) ได้แก่

- Narcissistic Personality มี ลักษณะเด่นของการมั่นใจในตนเองอย่างมาก (อาจเป็นเพียงความคิดเพ้อฝัน จินตนาการหรือแสดงออกเป็นพฤติกรรมเลยก็ได้) ต้องการการชื่นชมจากคนอื่นและขาดความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น (Grandiosity (in fantasy or behaviors), need for admiration, and lack of empathy) พบในชายมากกว่าหญิง

- Histrionic Personality มีลักษณะเด่นของการแสดงออกของอารมณ์อย่างชัดเจน (บางครั้งมากเกินควร) และแสวงหาความสนใจจากคนรอบข้างอยู่ตลอด (Excessive emotionality and attention seeking) พบในหญิงมากกว่าชาย

- Borderline Personality มี ลักษณะเด่นของการไม่เสถียรหรือไม่คงทนของสัมพันธภาพระหว่างบุคคล ภาพลักษณ์แห่งตนและการแสดงอารมณ์ และมีอารมณ์หุนหันพลันแล่นอย่างรุนแรง (Instability of interpersonal relationships, self-image and affects, and marked impulsivity) พบในหญิงมากกว่าชาย

- Antisocial Personality มีลักษณะเด่นของการไม่สนใจหรือฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ และการละเมิดสิทธิ์ของคนอื่น (Disregard for and violation of the rights of others) เริ่ม มีลักษณะดังกล่าวนี้ ตั้งแต่อายุ ๑๕ ปี พบในชายมากกว่าหญิง ผู้ที่มีบุคลิกภาพแบบนี้มีโอกาสฆ่าตัวตายสำเร็จสูงที่สุด และมีความสัมพันธ์กับภาวะซึมเศร้าและการใช้สารเสพติดอย่างชัดเจน

บุคลิกภาพผิดปกติในกลุ่ม C (Cluster C Personality Disorders) ได้แก่

- Avoidant Personality มีลักษณะเด่นของการยับยั้งทางสังคม ความรู้สึกไม่มั่นใจและอ่อนไหวต่อสถานการณ์ในด้านลบอย่างชัดเจน (Social inhibition, feeling of inadequacy, and hypersensitivity to negative evaluation) เป็นบุคลิกภาพที่พบบ่อยที่สุด (๑-๑๐%) มักพบในเด็กที่มีลักษณะขี้กลัว (timid temperament) และมีความสัมพันธ์กับโรคในกลุ่ม anxiety disorders อย่างชัดเจน

- Dependent Personality มีลักษณะเด่นของความต้องการการดูแล/ปกป้องที่มากเกินควร นำมาซึ่งการยอมจำนนหรือพฤติกรรมเกาะติดและมีความกลัวต่อการถูกแยกจาก (Excessive need to be taken care of the leads to submissive and clinging behavior and fear of separation) พบในหญิงมากกว่าชาย บุคลิกภาพแบบนี้มีความสัมพันธ์กับ agoraphobia และ substance dependence

- Obsessive-Compulsive Personality มี ลักษณะเด่นของการหมกมุ่นกับกฎระเบียบ ความสมบูรณ์แบบหรือการควบคุมตนเองและความสัมพันธภาพ โดยปราศจากความยืดหยุ่นการเปิดกว้างและประสิทธิภาพโดยรวม (Preoccupation with orderliness, perfectionism, or mental and international control, at the expense of flexibility, openness, and efficiency) ยึดมั่นกับกฎระเบียบเล็กๆน้อยๆหรือรายละเอียด ต่างๆจนทำให้มองข้ามจุดสำคัญๆของกิจกรรมนั้นๆไป จนอาจกระทบต่อควาสำเร็จของงานในภาพรวม ไม่ค่อยแสดงออกทางอารมณ์ พบในชายมากกว่าหญิง


   ความรู้ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการปฏิบัติงาน
สามารถนำไปใช้ในการพัฒนาการเรียนการสอน และพัฒนาการแนะแนวและให้คำปรึกษาแก่นักศึกษาให้สอดคล้องกับลักษณะบุคลิกภาพของแต่ละบุคคล


  ความรู้ที่จะนำไปพัฒนาต่อ ?
มีความรู้และเชี่ยวชาญในการพยาบาลสุขภาพจิตและจิตเวช เรื่อง บุคลิกภาพ

(0)

ประชุมเชิงปฏิบัติการพัฒนารูปแบบการสอนแบบบูรณาการ เน้นการสอนการดูแลสุขภาพด้วยหัวใจด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ (Humanistic Health Care) และจัดทำแผนสาธิตการสอน ครั้งที่ ๑ ในวิชาการพยาบาลบุคคลที่มีปัญหาทางจิต

ประชุมเชิงปฏิบัติการพัฒนารูปแบบการสอนแบบบูรณาการ เน้นการสอนการดูแลสุขภาพด้วยหัวใจด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ (Humanistic Health Care) และจัดทำแผนสาธิตการสอน ครั้งที่ ๑ ในวิชาการพยาบาลบุคคลที่มีปัญหาทางจิต
ผู้บันทึก :  นางจิราภรณ์ กาญจนะ
  กลุ่มงาน :  กลุ่มวิชาสุขภาพจิตและจิตเวช
  ฝ่าย :  ฝ่ายวิชาการ
  ประเภทการปฎิบัติงาน :  ประชุม
  เมื่อวันที่ : 15 ก.พ. 2555   ถึงวันที่  : 17 ก.พ. 2555
  หน่วยงาน/สถาบันที่จัด : 
  จังหวัด :  ปทุมธานี
  เรื่อง/หลักสูตร :  ประชุมเชิงปฏิบัติการพัฒนารูปแบบการสอนแบบบูรณาการ เน้นการสอนการดูแลสุขภาพด้วยหัวใจด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ (Humanistic Health Care) และจัดทำแผนสาธิตการสอน ครั้งที่ ๑ ในวิชาการพยาบาลบุคคลที่มีปัญหาทางจิต
  วันที่บันทึก  16 เม.ย. 2555


 รายละเอียด
๑.ความรู้เรื่อง Integration of Macronutrient metabolism

                   -Introduction and History of Nutrition

                   -Macronutrient Metabolism :CHO, Lipid, Protein

                   -Epigenetics  and  Nutrigenetics

                   -Nutritional Support in Patient

                     ๒.ความรู้เรื่องจัดทำแผนการสอนการดูแลสุขภาพด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์(Humanistic Health Care)

                   ประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอนรายวิชาการพยาบาลบุคคลที่มีปัญหาทางจิต

-การสอนเป็นทฤษฎี Humanistic Nursing

-การเน้นให้นักศึกษาเคารพความเป็นบุคคลทั้งผู้ป่วยและครอบครัว

-การ บริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ มากกว่าเน้นเรื่องโรค โดยให้ความเคารพผู้ป่วย และญาติอย่างที่เขาเป็น แล้วร่วมสรุปการเรียนรู้ร่วมกับผู้เรียน

-นักศึกษาให้มีการสะท้อนความรู้สึกทุกวันใน Post Conference

-ครูเป็นแบบอย่างที่ดีแก่นักศึกษาในการบริการพยาบาลด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์

Humanistic Nursing –Nursing Education –ต้องจัดประสบการณ์ตรงให้ผู้เรียน โดยคำนึงถึง Learning Experience, Bracketing, Awareness, Openness, Reflection, Dialogue, Authentic, Call, Response, Present ทั้ง being with &doing with, Empowerment, Self Confidence, Self Competency and Self Actualization

                     ๓.ความรู้เรื่องการจัดทำแผนการสอนแบบบูรณาการ

                     ๔.จัด ทำแผนการสอนแบบบูรณาการเน้นสอนการดูแลด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ ในรายวิชาการพยาบาลบุคคลที่มีปัญหาทางจิต โดยจัดรายละเอียดของวิชาตามกรอบแนวคิด ผังความรู้  และแผนการจัดการเรียนรู้ 

                     การประชุมครั้งที่ ๑ ได้ฟังบรรยาย เรื่องเรื่อง Integration of Macronutrient metabolism เรื่องจัดทำแผนการสอนการดูแลสุขภาพด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์(Humanistic Health Care)

และ.ความรู้เรื่องการจัดทำแผนการสอนแบบบูรณาการ

          ได้ ประชุมกลุ่มย่อยจัดรายละเอียดของวิชาตามกรอบแนวคิดการเรียนการสอนแบบ บูรณาการในรายวิชาการพยาบาลบุคคลที่มีปัญหาทางจิต วิเคราะห์ผลการเรียนรู้ (Learning Outcomes) รายวิชาการพยาบาลบุคคลที่มีปัญหาทางจิต ตามมาตรฐานผลการเรียนรู้จากหลักสูตรสู่รายวิชา (Curriculums mapping)และจัดทำ ผังมโนทัศน์ (Concept Mapping) ในเนื้อหาแต่ละบทของรายวิชาการพยาบาลบุคคลที่มีปัญหาทางจิต และเขียนแผนการสอน สื่อการสอน และการวัดประเมินผล โดยวิเคราะห์สาระการเรียนรู้รายวิชาเพื่อจัดทำผังข้อสอบ (Test specification) และสร้างข้อสอบรายวิชาเขียนรายละเอียดวิชาการพยาบาลบุคคลที่มีปัญหาทางจิตตามผังข้อสอบ 

 

 


   ความรู้ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการปฏิบัติงาน
 ได้ชุดการเรียนรู้แบบบูรณาการ ในวิชาการพยาบาลบุคคลที่มีปัญหาทางจิต ไปใช้ในการเรียนการสอนในวิทยาลัย

 


  ความรู้ที่จะนำไปพัฒนาต่อ ?
การจัดการศึกษา ปฏิบัติการสอนโดยใช้เทคนิคและการสื่อสารที่หลากหลายเหมาะสมกับผู้เรียนเพื่อให้การสอนมีประสิทธิภาพ

(0)