บทความเข้าคลังความรู้
วันที่บันทึก: วันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๕๗
ผู้บันทึก: นางสาวอุทุมพร ดุลยเกษม
กลุ่มงาน: กลุ่มวิชาการพยาบาลสูติศาสตร์
ประเภทการปฏิบัติงาน: การไปราชการต่างประเทศ
วันที่ ๑๔ – ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๗
หน่วยงาน: วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครศรีธรรมราช
สถานที่จัด: Fontys University of Applied Science, Netherland
เรื่อง: การพัฒนาการจัดการเรียนการสอน: การวัดและประเมินผลการศึกษา
ในการไปราชการครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ๑) เพิ่มพูนการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนแบบเชิงรุก
(Active Learning) ให้ครบสมบูรณ์ตามกระบวนการจัดการเรียนการสอน
ที่สิ้นสุดด้วยการประเมินผลการเรียนการสอน ๒) เรียนรู้กระบวนการวัดและประเมินผล
ความสําคัญของการวัดและประเมินผล และวิธีการวัดและประเมินผลแบบต่างๆ โดยเน้นการใช้ IT
ในกระบวนการวัดและประเมินผล
รูปแบบการอบรม มีทั้งรูปแบบการเรียนในชั้นเรียน
การฝึกปฏิบัติการออกแบบการวัดผลการศึกษาตามระดับของ Bloom
Taxonomy การศึกษาดูงานในสถานศึกษาต่างๆ รวมถึงสถานพยาบาล
ซึ่งสามารถนําวิธีการวัดและประเมินผลทางการศึกษามาใช้ในเชิงอาชีพการดูแลสุขภาพได้
โดยผลจากการเข้าร่วมอบรมในครั้งนี้ ได้ข้อสรุปดังนี้
1. การวัดผลทางการศึกษาสามารถทําได้หลายรูปแบบ เช่น การทดสอบโดยการเขียนบรรยาย การทํา
รายงาน การนําเสนอชิ้นงาน การสังเกต การใช้เทคนิคการเรียนแบบ PBL หรือการให้ Case study
เพื่อให้นักศึกษาฝึกการคิดแก้ปัญหา (กรณีนี้สิ่งที่สําคัญคือครูผู้สอนต้องใช้คําถามที่กระตุ้นให้นักศึกษาได้คิด)
ทั้งนี้ทั้งนั้นในการประเมินผลงานของผู้เรียน
ครูจะต้องมีคู่มือหรือแนวทางในการให้คะแนนว่าจะประเมินด้านใดบ้าง (Rubric score)
2. การฝึกออกข้อสอบแบบปรนัย ตามระดับขั้นของ Bloom Taxonomy มีจุดเน้นคือข้อสอบไม่ ควรจะ
เป็นข้อสอบที่มีผลต่อเนื่องกัน เช่น ไม่ถามคําถามที่เป็นผลมาจากข้อที่ผ่านมา โจทย์ควรมีความกระชับเข้าใจได้ง่าย
ไม่ควรมีข้อมูลเยิ่นเย้อโดยเฉพาะเป็นข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้องหรือไม่มีประโยชน์ต่อการนํามาใช้พิจารณาในการตอบ
ซึ่งทําให้เสียเวลาในการทําข้อสอบ หรือเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายคือในการออกข้อสอบแบบนี้
สิ่งสําคัญคือต้องออกข้อสอบให้ตรงตามวัตถุประสงค์การเรียน ถูกต้องตาม Test Blue Print มี Objectivity, มี
Reliability, และมี Validity
3. การวัดผลแบบ On line สามารถใช้ได้ดีในกรณีการวัดผลแบบระหว่างเรียน Formative Evaluation
ซึ่งสามารถทําได้โดยการสั่งงานล่วงหน้าก่อนเข้าชั้นเรียน หรือ ทําในขณะเรียนอยู่ในชั้นเรียน
โดยการวัดผลแบบนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อดู Competency ของนักศึกษาระหว่างเรียน
เป็นการหาจุดอ่อนเพื่อแก้ปัญหาหรือเติมเต็มให้กับนักศึกษา
ก่อนสิ้นสุดโปรแกรมการเรียนการสอนและมีการประเมินภาพรวม (Summative Evaluation) ต่อไป
4. การประเมินแบบใช้กราฟ เป็นการประเมินเพื่อดูพัฒนาการ ไม่ใช่การประเมินเพื่อการตัดสิน
5. การประเมินการนําเสนอเป็นกลุ่ม สามารถประเมินแบบ combine ได้ โดยอาจแบ่งการประเมินเป็น
คนที่ ๑ ประเมินด้านการนําเสนอ คนที่ ๒ ประเมินด้านเนื้อหา คนที่ ๓
ประเมินด้าน….ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์การประเมิน เป็นต้น
6. ภาพรวมของการวัดและประเมินผล ควรเริ่มมาจากการวางแผนการสอน วัตถุประสงค์การเรียนการ
สอน การวางแผนการประเมินผลระหว่างเรียน หลังสิ้นสุดการเรียน วิธีการประเมินแบบต่างๆ
ซึ่งควรมีการเตรียมเครื่องมือการวัดและประเมินผล (Test and Assessment Tools)
พร้อมคู่มือการใช้เครื่องมือให้พร้อม ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความแตกต่างที่เกิดขึ้นจากผู้ใช้เครื่องมือให้น้อยที่สุด
7. การออกข้อสอบ ต้องมี Test Blue Print เป็นแนวและต้องมีการวิพากษ์ข้อสอบว่าสอดคล้องกับ
Test Blue Print และวัตถุประสงค์ของการเรียนว่าต้องการวัดและประเมินในเรื่องใด หรือ Competency ใด
8. การวิเคราะห์ข้อสอบ อย่าเน้นเรื่องความยากง่าย (p) เพราะความยากง่ายของข้อสอบแต่ละชุดขึ้นกับ
ผู้สอบ แต่ควรเน้นที่อํานาจจําแนก (r)
ซึ่งนั่นหมายถึงว่าถ้าข้อสอบชุดนั้นดีจริงจะต้องสามารถแยกได้ว่านักศึกษาคนไหนที่เข้าเรียน เข้าใจ
จะต้องทําข้อสอบชุดนั้นได้ ขณะเดียวกันถ้านักศึกษาที่ไม่เคยเรียนวิชานี้เลยแต่ก็สามารถทําข้อสอบชุดนี้ได้
แสดงว่าข้อสอบชุดนี้ไม่สามารถจําแนกผู้สอบได้
นอกจากนี้ควรเน้นเรื่องข้อสอบว่าออกได้ตรงตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการทดสอบหรือไม่
9. นักศึกษาควรจะได้รับทราบตั้งแต่ก่อนเรียนว่าวิชาที่เรียนมีวัตถุประสงค์ในการเรียนหรือเป้าหมายที่
ต้องการให้เกิดหลังสิ้นสุดการเรียนอย่างไร มีวิธีการเรียนการสอนอย่างไร วิธีการวัดและประเมินผลทําอย่างไร
เมื่อไรบ้าง เป็นต้น เพื่อให้นักศึกษาได้รับทราบและเตรียมตัวก่อนเรียน
ดังนั้นจึงควรให้ความสําคัญในชั่วโมงปฐมนิเทศวิชาก่อนเริ่มการเรียนอย่างน้อย ๑ ชั่วโมง
10. การใช้วิธีการประเมินตนเองทาง on line ด้านความรู้เกี่ยวกับการพยาบาลใน Procedure ต่างๆ ( E-
Learning) เพื่อเป็นการทบทวนความรู้และการเตรียมความพร้อมก่อนการฝึกภาคปฏิบัติในห้องปฏิบัติการ (ห้อง
Lab) หรือก่อนสอบเพื่อต่อใบประกอบวิชาชีพ (จากการศึกษาดูงาน รพ.Vie Curi)
11. หลักการนําเสนอโดยใช้ PPT ให้มีการเตรียมอยู่ ๒ กรณี คือ ๑) ผู้นําเสนอ และ ๒) งานที่ต้องนําเสนอ
สําหรับผู้นําเสนอ ให้เตรียมในเรื่องต่อไปนี้
มีน้ําเสียงหนัก-เบา ไม่ใช่เสียงแบบราบเรียบ / การออกเสียงอักขระถูกต้อง ไม่ช้าหรือเร็วเกินไป / มีการเน้น
น้ําหนักเสียงในจุดที่สําคัญ หรือเมื่อเปลี่ยนหัวข้อ / ใช้เทคนิคการหยุดเป็นระยะ
ไม่พูดต่อเนื่องยาวจนหาจุดเน้นไม่ได้ เพื่อเรียกความสนใจ
สื่อสาร แต่ต้องไม่มากจนเกินไป / การประสานสายตาเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้ฟัง / การยืน
– เดิน ควรมีการเคลื่อนไหวร่างกายไปมาบ้าง ไม่ยืนอยู่กับที่เป็นเวลานานๆ
ขณะเดียวกันก็ไม่เคลื่อนไหวร่างกายจนมากเกินไปจนผู้ฟังตาลาย ไม่ควรนั่งขณะนําเสนอ
ที่ใช้ประจํา ให้เขียนในกระดาษย่อหรือทําเป็นคําพูดใต้ Slide ซึ่งผู้พูดสามารถมองเห็นได้คนเดียว
สําหรับงานที่ต้องนําเสนอ ให้เตรียมดังนี้
Slide มีไว้สําหรับช่วยผู้นําเสนอในการนําเสนอด้วยการอธิบายให้เกิดความชัดเจน มิใช่เพื่อผู้ฟังไว้อ่าน
ดังนั้นจึงไม่ควรใส่รายละเอียด (การใส่ Text มากจะทําให้ผู้ฟังอ่านบน Slide มากกว่าฟัง)
- ลักษณะ Verbal ผู้นําเสนอควรมีการนําเสนอด้วยโทนน้ําเสียงที่เรียกความสนใจได้ โดยการ
- ลักษณะ Non verbal ผู้นําเสนอควรมีการแสดงสีหน้าท่าทาง /การใช้มือไม้ในการช่วย
- อื่นๆ เช่น ศัพท์หรือภาษาที่ใช้ ควรใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย ถ้าเป็นภาษาที่ไม่ถนัดหรือไม่ใช่ภาษา
- ข้อความบน Slide ควรเป็นหัวข้อหลักๆ ไม่ควรมีมากเกินไป พึงจําไว้เสมอว่า ข้อความบน
จะคิดว่าทําไมใช้ Background นี้ หรือ Background นี้ไม่สัมพันธ์กับเนื้อหา เป็นต้น
สนใจเนื้อหาที่ผู้นําเสนอต้องการนําเสนอ
ใช้ขนาด ๒๘ Bold (ตัวหนา)
ความรู้ที่จะนําไปพัฒนาต่อ:
- การให้ความสําคัญกับการเตรียมตัวก่อนเรียนของนักศึกษา (ปฐมนิเทศ)
- การเตรียมเครื่องมือวัดและประเมินผล ควรเตรียมไว้ให้เรียบร้อยก่อนเริ่มการเรียนการสอน
- บน Slide ควรมีทั้งตัวหนังสือและรูปภาพ เพื่อให้ผู้ฟังจําได้
- Animation อย่าใช้ฟุ่มเฟือย ควรใช้เวลาเปลี่ยนหัวข้อหรือต้องการเน้น
- Background ควรเป็นเป็นแบบเรียบๆ การใช้ Background แปลกๆ จะทําให้ผู้ฟังไม่ฟังแต่
- การใช้สีเพื่อดึงดูดผู้ฟัง ไม่ใช่ความสําเร็จของการนําเสนอ เพราะผู้ฟังจะสนใจแต่ Slide แต่ไม่
- ชนิดและขนาดตัวอักษรภาษาอังกฤษที่อ่านง่ายคือ Calibri ขนาด ๒๔ หรือถ้าเป็นหัวข้อ ให้
- การมี Test Blue Print ที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การเรียน
- การวิพากษ์ข้อสอบ ควรมีกรรมการในการช่วยวิพากษ์
- การวัดและประเมินผลควรใช้หลากหลายวิธี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประเมินแบบ Formative
Evaluation (416)