Author Archives: admin

การพัฒนาผู้บริหารและอาจารย์ด้านบริหารจัดการหลักสูตร ของวิทยาลัยในสังกัดสถาบันพระบรมราชชนก

การพัฒนาผู้บริหารและอาจารย์ด้านบริหารจัดการหลักสูตร ของวิทยาลัยในสังกัดสถาบันพระบรมราชชนก

แบบฟอร์มสำหรับส่งบทความเข้าคลังความรู้

 

วันที่บันทึก :   4  สิงหาคม  2557

ผู้บันทึกนางนิศารัตน์ นรสิงห์นางสาวนงรัตน์ โมปลอด ดร.จามจุรี แซ่หลู่

กลุ่มงาน :  กลุ่มวิชาการพยาบาลสุขภาพจิตและจิตเวช และกลุ่มวิชาการพยาบาลอนามัยชุมชน

ประเภทการปฏิบัติงาน: การประชุมเชิงปฏิบัติการ

วันที่   20 สิงหาคม 2557 ถึงวันที่ 22  สิงหาคม 2557

หน่วยงาน/สถาบันที่จัด : สถาบันพระบรมราชชนก

สถานที่จัด :   โรงแรมเอเชียแอร์พอร์ต รังสิต กรุงเทพมหานคร

เรื่อง : การพัฒนาผู้บริหารและอาจารย์ด้านบริหารจัดการหลักสูตร ของวิทยาลัยในสังกัดสถาบันพระบรมราชชนก

ตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษา

 รายละเอียด

1. นโยบายการจัดการศึกษาของสถาบันพระบรมราชชนกในทศวรรษหน้า

คุณลักษณะของผู้เรียนในศตวรรษที่ ๒๑ มี ๔ ประการ คือ

1) วิถีทางคิด : ความคิดสร้างสรรค์ คิดวิจารณญาณ ความสามารถในการแก้ปัญหา การตัดสินใจ

2) วิถีทางของการทํางาน คือ มีความสามารถในการติดต่อสื่อสารและการร่วมมือ

3) เครื่องมือสําหรับการทํางาน คือ สารสนเทศ และเทคโนโลยีการสื่อสารต่างๆ

4) ทักษะสําหรับดํารงชีวิตในโลกปัจจุบัน คือ ความเป็นพลเมืองดี มีทักษะชีวิตและอาชีพ และมีความสามารถในการเรียนรู้และมีความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคมการพัฒนาเด็กในยุคศตวรรษที่ ๒๑ ใน ๕ ด้าน

 

 

1) สมองด้านวิชาการและวินัย

2) สมองด้านสังเคราะห์

3) สมองด้านสร้างสรรค์

4) สมองด้านเคารพ ให้เกียรติ (Respectful mind) วิชาการศึกษาทั่วไปต้องสอนให้เกิด ดังนั้นควรให้ผู้มีความรู้เฉพาะสาขานี้มาสอน

5) สมองด้านจริยธรรม (Ethical mind) ทักษะเพื่อการดํารงชีวิตในศตวรรษที่ ๒๑

1) ความตระหนักในการเป็นส่วนหนึ่งของโลก (Global Awarness)

2) ความรู้ด้านการเงิน เศรษฐกิจ ธุรกิจ และการเป็นผู้ประกอบการ (Financial, Economic,

Business, Entrepreneurial Literacy)

3) ความรู้ด้านการเป็นพลเมืองที่ดี (Civic Literacy)

4) ความรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy)

5) ความรู้ด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Literacy)

คุณภาพบัณฑิตบุคลากรสุขภาพ

- มีความรู้ความสามารถทางเทคนิควิชาชีพที่ดี

- มีความสามารถในการทํางานเป็นทีมในระบบสุขภาพ

- เข้าใจระบบสุขภาพ

- เคารพศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์

- มีศักยภาพในการเรียนรู้ต่อเนื่องได้ตลอดชีวิตการปฏิรูปใหญ่การศึกษาของบุคลากรสุขภาพ

- ยึดถือผู้ป่วยและประชากร (ชุมชน) เป็นศูนย์กลาง

- ใช้หลักสูตรแบบ Competency Based

- จัดการศึกษาแบบ Interprofessional & Team –based เพื่อบ่มเพาะทักษะและนิสัยด้านความสัมพันธ์ระหว่างวิชาชีพ

- ใช้ IT ช่วยเสริมการเรียนรู้

 

- ปลูกฝังทักษะด้านนโยบาย การจัดการ และภาวะผู้นําปัญหาการจัดการศึกษาในวิชาชีพสุขภาพ

1) การพัฒนาหลักสูตร โดยมากเน้นเรื่องการพัฒนาความรู้ ทักษะทางวิชาการ โดยเฉพาะขาดความเชื่อมโยงกับพลวัตระบบสุขภาพ และสถานการณ์ของประเทศ อาจารย์ไม่ต้องกังวลว่านักศึกษาจะได้ความรู้ไม่ครบตามเนื้อหา แต่ต้องฝึกให้ค้นคว้าความรู้ด้วยตนเองเพื่อเติมเต็มตนเองได้

2) การปฏิรูปการศึกษาวิชาชีพด้านสุขภาพเป็นปัญหาที่หลายฝ่ายให้ความสําคัญแต่มุมมองและวิธีแก้ปัญหายังอยู่ในกรอบของวิชาชีพของตน ขาดความเชื่อมโยงและสอดคล้องกับพลวัตของระบบสุขภาพ และความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสังคมแนวทางการจัดการศึกษาในทศวรรษหน้า

• ยึดถือผู้ป่วยและประชากร (ชุมชน) เป็นศูนย์กลาง

• จัดการเรียนการสอนที่เน้น competency-based ไม่ใช่ content-base

• จัดการศึกษาแบบ inter professional & team-based เพื่อบ่มเพาะทักษะและนิสัยด้านความสัมพันธ์ระหว่างวิชาชีพ

• ปฏิรูปการจัดการศึกษาเพื่อให้เกิดระบบการศึกษาที่มีความร่วมมือและเกี่ยวโยงกันเป็นเครือข่

• ใช้ IT ช่วยเสริมการเรียนรู้

• การพัฒนาอาจารย์ ให้มีความรู้ทางวิชาการความเป็นครู

2. แนวทางการคํานวณภาระงานสอนของอาจารย์สําหรับวิทยาลัยในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขพบว่า มีความแตกต่างในหลักการคํานวณ FTES และภาระงานด้านการสอนของอาจารย์ประจํา จึงขอให้สถาบันพระบรมราชชนกจัดทําข้อตกลงกับทุกวิทยาลัยและควรใช้เป็นแนวทางเดียวกัน โดยมีแนวทางเลือก ดังนี้สืบเนื่องจากที่สภาการพยาบาลได้ดําเนินการประเมินเพื่อรับรองสถาบัน คํานวณตามระยะเวลาการปฏิบัติงานจริงที่อาจารย์พยาบาลประจําดําเนินการจัดการเรียนการสอนทุกร

แบบที่ ๒ คํานวณเต็มเวลาสําหรับรายวิชาในหมวดวิชาชีพแม้ไม่ได้สอนครบทุกบท และหากอาจารย์พยาบาลประจําดําเนินการจัดการเรียนการสอนในรายวิชาที่อยู่ในหมวดวิชาการศึกษาทั่วไป และหมวดพื้นฐานวิชาชีพด้วยในบางบท/หัวช้อ ให้คํานวณเพิ่มเติมตามระยะเวลาที่ปฏิบัติงานจริงและหากอาจารย์พยาบาลประจําดําเนินการจัดการเรียนการสอนในรายวิชาที่อยู่ในหมวดวิชาการศึกษาทั่วไป และหมวดพื้นฐานวิชาชีพด้วยในบางบท/หัวช้อด้วยก็ตาม ภาระงานส่วนนี้จะไม่ใช่ด้านการเรียนการสอน แต่เป็นภาระงานด้านการบริการวิชาการ ถือเป็นเสมือนอาจารย์พิเศษ

แบบที่ ๓ คํานวณเต็มเวลาเฉพาะรายวิชาในหมวดวิชาชีพแม้ไม่ได้สอนครบทุกบท

 

 ความรู้ที่สามารถนํามาประยุกต์ใช้กับการปฏิบัติงาน

1. เทคนิคการบริหารวิชาการ เพื่อการดําเนินงานตามตัวบ่งชี้ผลการดําเนินงานของหลักสูตรตามกรอบ

TQF เพื่อการประเมินคุณภาพหลักสูตร

2. การเตรียมการเพื่อรองรับการประเมินผลและรายงานผลการดําเนินงานตามหลักสูตร (มคอ.๗)การพัฒนานักศึกษาให้สอดคล้องกับเด็กในยุคศตวรรษที่ ๒๑ ใน ๕ ด้าน

1) ด้านวิชาการและวินัย

8) ด้านเคารพ ให้เกียรติ (Respectful mind) วิชาการศึกษาทั่วไปต้องสอนให้เกิด ดังนั้นควรให้ผู้มีความรู้เฉพาะสาขานี้มาสอน

9) ด้านจริยธรรม (Ethical mind) และการพัฒนาคุณภาพบัณฑิตบุคลากรสุขภาพ

- มีความรู้ความสามารถทางเทคนิควิชาชีพที่ดี

- มีความสามารถในการทํางานเป็นทีมในระบบสุขภาพ

- เข้าใจระบบสุขภาพ

- เคารพศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์

- มีศักยภาพในการเรียนรู้ต่อเนื่องได้ตลอดชีวิตโดยการพัฒนาวิธีการสอนที่ เน้นอาจารย์ไม่ต้องกังวลว่านักศึกษาจะได้ความรู้ไม่ครบตามเนื้อหา แต่ต้องฝึกให้ค้นคว้าความรู้ด้วยตนเองเพื่อเติมเต็มตนเองได้ และเชื่อมโยงความรู้ที่สอดคล้องกับพลวัตของระบบสุขภาพ และความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสังคม

  (432)

การพัฒนาอาจารย์ด้านการจัดการเรียนการสอน : Clinical Simulation

การพัฒนาอาจารย์ด้านการจัดการเรียนการสอน : Clinical Simulation

แบบฟอร์มสำหรับส่งบทความเข้าคลังความรู้

 

ผู้บันทึก : นางวันดี แก้วแสงอ่อน และ นางนิสากร จันทวี

กลุ่มงาน : ห้องสมุดและห้องปฏิบัติการ

 ประเภทการปฏิบัติงาน: อบรมระยะสั้นต่างประเทศ

วันที่จัด: วันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๕๗ ถึงวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๕๗

หน่วยงาน/สถาบันที่จัด : สถาบันพระบรมราชชนก สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข

สถานที่จัด : ณ NortumbriaUniversity สหราชอาณาจักร

เรื่อง :การพัฒนาอาจารย์ด้านการจัดการเรียนการสอน : Clinical Simulation

รายละเอียด

๑. การจําลองสถานการณ์ (Simulation) มีหลายรูปแบบ ดังนี้

๑.๑ การเรียนจากบทเรียนที่ใช้ปัญหาเป็นหลัก (Paper based scenario) :

เป็นการเรียนโดยการประยุกต์การเรียนโดยใช้บทเรียนที่มีปัญหาเป็นหลัก (ใน ๑ กลุ่มจะมีผู้สอนประมาณ ๒ คน ในการสอนกลุ่มนักศึกษา ๖ คน ของทีมมหาวิทยาลัย Nortumbria)ปัญหาที่พบ : ผู้เรียนไม่ได้สนใจปัญหาที่เกิดขึ้นจริง จะมุ่งแก้ปัญหาตามบทเรียนที่มีให้

๑.๒ การแสดงบทบาทสมมติ (Role play) : การสอนด้วยบทบาทสมมติเหมือนสถานการณ์จริง จะประกอบด้วยการที่กลุ่มนักศึกษาเขียนบทการแสดงและมอบหมายบทบาทหน้าที่ของแต่ละคน เช่น

พยาบาล ผู้ป่วย และผู้เรียน ๒ ใน ๓ เป็นผู้สังเกตพฤติกรรม ผู้สอนต้องควบคุมห้องเรียนโดยให้ผู้เรียนทุกคนสนใจในบทบาทที่เพื่อนแสดง การสอนแบบนี้เหมาะกับการสอนเทคนิคการสื่อสาร หรือสอนผู้ป่วยก่อน กลับบ้าน

๑.๓ Single task trainer : เป็นการฝึกทีละวิธีการ

เป็นการสอนที่ผู้สอนจะต้องปูพื้นฐานให้ผู้เรียนมีความรู้ครบถ้วนในกิจกรรมเฉพาะและมีการสาธิตและสาธิตย้อนกลับโดยการฝึกทีละวิธีการหรือกิจกรรม เช่น การใส่สายสวนปัสสาวะ ผู้สอนจะสอนถึงอุปกรณ์ที่ใช้ การทํา ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น มีการสาธิตให้ดูและให้ผู้เรียนปฏิบัติเพียงทีละ ๑

๑.๔ Desk/Table top exercise : การประชุมหารือเชิงปฏิบัติการ

เป็นการที่ผู้เรียนได้ฝึกการแก้ปัญหาสถานการณ์ที่สําคัญของหน่วยงานหรือประเทศที่มีการสูญเสียทางเศรษฐกิจจะส่งผลต่ออัตราการเสียชีวิตเช่น การระบาดของไข้หวัดนก ภัยพิบัติ และการฝึกการเป็นผู้นํา

๑.๕ Manniequin based (หุ่นมนุษย์จําลอง) :

เป็นการสอนที่ผู้สอนให้ผู้เรียนได้ฝึกในสถานการณ์ต่างกับหุ่นจําลองที่ผู้สอนได้จําลองสถานการณ์คล้ายกับผู้ป่วยจริง เช่น การสอนในการดูแลผู้ป่วย Asthma attack ผู้เรียนได้ฟังเสียงการหายใจแบบ Wheezing จากปอด ได้ฝึกการให้ออกซิเจน และการให้ยาในผู้ป่วย

๑.๖ Manniequin total immession (หุ่นมนุษย์จําลองแบบครบในทางการแพทย์) :

เป็นการสอนที่ผู้สอนสามารถให้ผู้เรียนได้เรียนรู้การแสดงอาการของผู้ป่วยในหลายระบบพร้อมๆกัน เช่น การสอนในการดูแลผู้ป่วย Shock หรือ Cardiac arrest

๑.๗ Environment : เป็นการสอนที่จัดสิ่งแวดล้อมให้เสมือนจริง เช่น

เป็นการสอนที่มีการจําลองคล้ายกันในหอผู้ป่วย ผู้ป่วยรวมหลายเชื้อชาติ หลายโรค ให้ผู้เรียนฝึกการดูแล

๑.๘ Virtual reality : ระบบเสมือนจริง เป็นการสอนที่ใช้ประโยชน์จาการสร้างสื่อผสม

ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเองหรือเป็นกลุ่มได้ โดยนําเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ สามารถเคลื่อนย้าย

โต้ตอบในสิ่งแวดล้อม มีที่แสดงหรือดูในรายละเอียดได้เช่น การสอนในวิชา Anatomy ที่มหาวิทยาลัย

Northumbria จะมีการควบคุมระบบโดยใช้ SMOTS โดยใช้กล้องหลายๆตัวในแต่ละห้อง มีทั้งห้อง ICU เด็ก

๒. หลักสูตรการเรียนการสอน NortumbriaUniversity

ประยุกต์แนวคิดการฝึกทักษะ (Skills Acquisitions) จากหลักสูตรของประเทศสหรัฐอเมริกา

Does

ลงมือปฏิบัติ

Show How

เรียนรู้สถานการณ์เสมือนจริง

Know How

จาการกระทํา กรณีศึกษา สัมมนา

D Knows

Mixed modality ใช้วิธีแบบผสมผสานในแต่ละเรื่อง โดยเริ่มจากการบรรยาย เช่น เรื่อง Shock

โดยการสัมมนาเรื่อง Shock ก่อนการทดลองกับผู้ป่วยจนไปปฏิบัติจริง

๓. หลักสูตรการสอนที่เกี่ยวข้องกับ Simulation

นักศึกษาพยาบาล ปี ๑ จะเป็นการฝึกทักษะพื้นฐานทางการพยาบาล

กรณีถ้าใช้อุปกรณ์เฉพาะพัฒนาทักษะทางการพยาบาล (Focus on skill development) โดยวิธีการสาธิต

(Demonstration) ผู้สอนต้องดูแลอย่างใกล้ชิด (Support complete) เช่น การสอนแบบบรรยาย การสาธิต นักศึกษาพยาบาล ปี ๒ ใช้การสอนแบบ Coached Simulated Scenario ผู้สอนจะเป็นแนะนําวิธีการ เป็นผู้คอยชี้แนะในกาศึกษาหุ่น เช่น สถานการณ์ผู้ป่วย เจ็บหน้าอก ช็อค หรือ การฟื้นคืนชีพ ผู้สอนจะเป็นพี้เลี้ยงหรือผู้ชี้แนวทาง (Guide/Mentor)นักศึกษาพยาบาล ปี ๓ ผู้เรียนต้องใช้ประสบการณ์ที่ได้เรียนมาทํางานเป็นทีม บริหารจัดการหอผู้ป่วยได้ เช่น ใช้ข้อมูลจากการซักประวัติ การตรวจร่างกาย มากอบกับผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการและผลตรวจพิเศษ ผู้สอนทําหน้าที่ Facilitator/Role player

๔. การสอนโดยใช้สถานการณ์เสมือนจริง (Simulation delivery )

๒๐ นาที ๒๐ นาที ๓๐ นาที

Scenarioการปฏิบัติตามที่มีในสถานการณ์การสรุปบทเรียนใช้เวลา ๕ นาทีเรียนรู้ทําไม จําเป็นอย่างไรแนะนําเข้าสู่ Simulation Related to real ward experience เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ซึ่งการเล่าหรือการแลกเปลี่ยนประสบการณ์จริงที่พบในผู้ป่วย กับผู้เรียนมีความสําคัญมากการสอนสถานการณ์จําลองเสมือนจริงที่ NortumbriaUniversity จะเน้นไปใน ๓ กิจกรรม ได้แก่

โดยแบ่งนักศึกษาออกเป็น ๔ กลุ่ม กลุ่มละ ๖ – ๗ คน (กรณีที่มี ๒๕ คน) ใช้เวลาประมาณ ๓ ชม. โดยมีการหมุนเวียนกันในกลุ่ม และแต่ละกลุ่มทํา Simulation ๒ สถานการณ์ และแบ่งผู้ Observe ๒

กลุ่มสลับกัน ผู้ Observe จะเป็นผู้ปฏิบัติในสถานการณ์นั้นด้วย เช่น Shock และ Asthma attackทฤษฎีที่ใช้ประกอบการเรียนการสอน คือ ทฤษฎีการเรียนรู้ที่จะค่อยๆเสริมความรู้ใหม่ที่ละน้อย

เพื่อให้ผู้เรียนมีความมั่นใจในการทํา เสริมความรู้ และทําให้เกิดความมั่นใจ ขั้นตอน Debrief แบ่งออกเป็น ๓ ระยะ ดังนี้

ระยะที่ ๑ Descriptive Phase (การบรรยาย) : เป็นการถามถึงความรู้สึกของผู้เรียน

ระยะที่ ๒ Analysis Phase (การวิเคราะห์) : ครูสะท้องผู้เรียนในสิ่งที่ผู้เรียนทําได้ดี

ระยะที่ ๓ Application Phase (การนําไปประยุกต์ใช้) : จะนําไปใช้จริงอย่างไร ให้ทําจนผู้เรียนเกิดความมั่นใจที่จะสามารถนําไปปฏิบัติได้หลักการในการทํา Debrief โดยใช้หลัก ๖PA (Performance Agreement)

Immediate Phase ขั้นตอนการประเมินและระบุปัญหาที่พบ

Planning Phase การวางแผนว่า ใครควรทําอะไร ตามบทบาทหน้าที่อะไร

Assessment Phase การประเมินสภาพ และการระบุปัญหา

Action Phase การลงมือปฏิบัติ เช่น การให้เลือด ให้ยา ฯลฯ

Maintenance Phase ดูผลการประเมิน เช่น การให้สารน้ําทางหลอดเลือดดํา

Deterioration Phase วิเคราะห์ประเมินคุณภาพ การออกซิเจน ถ้าผลการประเมินดีให้คงสภาพดังกล่าวไว้หรืออาจมีการปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสมหากไม่ได้ผลเป็นไปตามที่กําหนดไว้ให้กลับไปประเมินขั้นต้นใหม่ในขั้น Debrief ผู้สอนจะสะท้อนหรือประเมินในวันที่ผู้เรียนทําได้ดีก่อน เพื่อให้ผู้เรียนเกิดความมั่นใจ เช่น มีการดูแลแบบเอื้ออาทร เข้าไปซักถามความรู้สึกของผู้ป่วย จับมือหรือสัมผัสตัวผู้ป่วยไว้ เป็นต้น แล้วถึงประเมินจุดที่บกพร่อง บอกเหตุผล และบอกแนวทางการแก้ไข

๕.Recognition Rescue (คุณค่าและความสําคัญของการช่วยเหลือให้รอดชีวิต)

Failure to rescue : ความล้มเหลวในการช่วยเหลือผู้ป่วยให้รอดชีวิตยังมีความสําคัญมาก ซึ่งการช่วยเหลือมีการดูแลอยู่ ๒ แบบ คือ

- Technical : มีเทคนิคหรืออุปกรณ์ช่วย เช่น การประเมินโดยใช้แบบวัด

- Non Technical : การไม่ใช้อุปกรณ์ หรือเทคนิคเฉพาะทางการแพทย์ เช่น การพูดคุยกับผู้ป่วย การทํางานเป็นทีม การตระหนักถึงความสําคัญ การรับรู้สิ่งที่อยู่รอบตัวที่ประเทศอังกฤษ มีหน่วยงานที่ดูแลเฉพาะ คือ NPSA (National Patient Save Agency) มีการประเมินโดยใช้แบบประเมิน Early Warning Score (EWS) เป็นการประเมินใช้ ๖ ตัวชี้วัด ดังนี้

Respiratory Rate การวัดอัตราการหายใจ

saturation เป็นตัวชี้วัดสําคัญเป็นตัวที่ประเมินปัญหาในระบบทางเดินหายใจ

Temperature อุณหภูมิกาย

Systolic Blood Pressure ความดันโลหิตขณะหัวใจบีบตัว

Heart Rate อัตราการเต้นของหัวใจ หรือชีพจร

Level of Conscious ประเมินตาม AVPU (Alert, Response to voice, Response to Pain, Unresponsive)NPSA มีเกณฑ์ในการแบ่งคะแนน ดังนี้

คะแนน ๓ ๒ ๑ ๐ ๑ ๒ ๓RR ๑๒-๒๐

แต่ในการประเมินก็ต้องขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของพยาบาลด้วย เช่น ถ้าเป็นนักกีฬาหรือผู้ป่วยที่มีปัยหาโรคปอดเรื้อรัง จะมี HR ที่ต่ํา เป็นต้นในผู้ป่วยเด็กมีแบบประเมินเฉพาะ คือ PEWS for Children เพราะเด็กจะเกิด Respiratory failure

Child Arrest

Loss fluid Fluid maldistribution Respiratory distress Respiratory

Circulatory failure Respiratory failure

Cardiac arrest

การใช้ PEWS chart จะใช้เฉพาะเด็กที่อายุน้อยกว่า ๑๗ ปี โดยแบ่งช่วงอายุเป็น ๑ -๔ ปี, ๕ – ๗ ปี และ ๘ – ๑๖ ปี เพราะค่าที่ประเมินได้จะมีความแตกต่างกัน

๖.Simulation technology ประกอบด้วย

1. SMOT โดยการสังเกตผ่านวีดีโอ เพื่อดูพฤติกรรมของผู้เรียนว่าสามารถทําได้ดีหรือต้องมีข้อแก้ไขโดยจะมีกลุ่มที่สังเกตพฤติกรรมและให้การสะท้อนพฤติกรรมกลุ่มที่อยู่ใน Simulation room

1. Safety เพื่อให้เกิดความปลอดภัยกับผู้ป่วย ก่อนที่จะปฎิบัติจริงต้องฝึกฝนจนผู้เรียนเกิดความมั่นใจการทํากับหุ่นสามารถทําซ้ําและหยุดได้เป็นช่วงๆ และยังช่วยฝึกการปรับตัวก่อนเผชิญกับสถานการณ์จริง ในเรื่องของความตรึงเครียด และกดดัน เป็นต้น

 

2. Experience เป็นการเพิ่มทักษะให้กับผู้เรียน เพื่อไม่ให้เกิดความกลัว

ความตื่นตระหนก ร้องไห้ และความเครียด เช่น การฝึกของนักบิน ก่อนการบิน เพื่อให้เกิดทักษะ และสามารถเผชิญกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้

 

3. Practice การฝึกต้องใส่เครื่องแบบเพื่อแสดงความเป็นเป็นวิชาชีพ

และเพื่อให้ผู้เรียนมีการเตือนตัวเองว่าจะทําอะไรต้องคํานึงถึงวิชาชีพ และให้ผู้เรียนดึงความรู้ที่เรียนออกมาใช้

4. Benefits การฝึกทํากับหุ่นสามารถหยุดและให้ข้อเสนอแนะ และเริ่มทําซ้ําใหม่ได้ อันจะทําให้เกิดประโยชน์ในการเรียนรู้ของผู้เรียนความคาดหวังจากการใช้หุ่น (Expectation simulation) มีเป้าหมายดังนี้

1. ให้ผู้เรียนตระหนักรู้ถึงอาการแสดงที่เปลี่ยนไปของผู้ป่วยในทางที่แย่ลง

2. การประเมินสภาพโดยใช้ A=Airway B= Breathing C=Circulation D= Disability E=

Exposure เป็นกรอบแนวคิดในการประเมิน

3. การรายงานผลและส่งต่อ โดยใช้เครื่องมือ SBAR (SBAR Tool)

Simulation ต้องประกอบด้วย การ Lecture, Practicals, Seminar และ Practice placement

(การทดสอบการปฏิบัติ) ที่จะทําให้การเรียนด้วย Simulation มีความสมบูรณ์

ขั้นตอนการเรียน Simulation ต้องประกอบด้วย

a. การแบ่งผู้เรียนออกเป็น 4 กลุ่ม

b. ให้เวลากลุ่มสังเกตการณ์ศึกษาสถานการณ์ และศึกษาบทบาทการทํางานที่กําหนด

และการแสดงบทบาทของเพื่อนที่อยู่ใน simulation room

โดยใช้การอภิปรายจากการบันทึกพฤติกรรมจากกลุ่มที่สังเกตการณ์ได้

c. ครูจะเข้ามาพบผู้เรียนในห้องสังเกตการณ์ ภายหลังจากจบกลุ่ม scenario

d. กลุ่มที่อยู่ในห้องสังเกตการณ์จะให้ข้อมูลย้อนกลับ และประเมินผลในตอนท้าย

ผู้อํานวยความสะดวก (facilitator) – ผู้ให้คําปรึกษา (mentor)

ผู้เรียน (student) – นักศึกษาพยาบาล (a student nurse)

-ห้องสังเกตการณ์ (Observation room)

เครื่องวัดความดันโลหิต ออกซิเจน โทรศัพท์

การ De-briefing โดยใช้โมเดลของ Steinwachs (1992) แบ่ง 3 ระยะ คือ

๑. Descriptive phase ให้ผู้เรียนบอกความรู้สึกว่ารู้สึกอย่างไรกับสถานการณ์

๒. Analysis phase ผู้สอนจะเป็นผู้บอกข้อดี และข้อบกพร่อง

โดยต้องไม่ให้ผู้เรียนรู้สึกผิดและใช้การเสริมแรงทางบวก เพื่อให้ผู้เรียนเกิดกําลังใจ

๓. Application phase การนําไปใช้ในสถานการณ์จริง โดยต้องเน้นย้ําให้ผู้เรียนตระหนักถึงคุณธรรม

จริยธรรม (etiquette) ในการปฏิบัติกับหุ่น โดยคํานึงถึง

- การเคารพ (Respectful) ในการปฏิบัติกับหุ่นให้เสมือนกับการปฏิบัติผู้ป่วยจริง

- การทํางานเป็นทีม ต้องพยายามดึงผู้เรียนที่ไม่กล้าแสดงออกให้เข้ามา

ส่วนผู้เรียนที่คอยชี้นํากลุ่มให้ดึงออกไปจากกลุ่ม

1. แบ่งกลุ่มผู้เรียนออกเป็น 4 กลุ่ม โดยกลุ่มสังเกตการณ 6 คน และกลุ่ม scenario 6 คน

2. Pre-debrief โดยผู้สอนจะบอกถึงวัตถุประสงค์ของการเรียนการสอน อุปกรณ์

และข้อมูลผู้ป่วย ซึ่งผู้ป่วยที่ได้รับมีข้อมูลดังนี้

กรณีศึกษา ผู้ป่วยอายุ 61 ปี มีประวัติเป็นมะเร็งลําไส้ หลังผ่าตัดมะเร็งลําไส้ on radivac drain

discharge ออก 200 cc แรกรับมีอาการเหนื่อย on oxygen 2 L/min retained foley’s catheter urine

1. ครูบอกวิธีการปฏิบัติ โดยเน้นย้ําให้ผู้เรียนนําความรู้มาใช้

2. ผู้เรียนในกลุ่ม Simulation จะต้องประเมินผู้ป่วยโดยใช้หลัก ABCDE โดยใช้ความรู้

ประสบการณ์ และรายงานผลโดยใช้ SBAR TOOL

3. ขณะที่อยู่ในสถานการณ์ผู้สอนควรสังเกตผู้เรียน

หากพบผู้เรียนปฏิบัติไม่ถูกต้องหรือไม่ปฏิบัติในเวลาที่กําหนด ผู้สอนจะหยุด และถามคําถาม

ยกตัวอย่างเช่น ทําไมถึงเปลี่ยนการให้ Oxygen cannula เป็น Oxygen mark

หากผู้เรียนไม่สามารถบอกได้ ผู้สอนต้องเสริมความรู้ให้กับผู้เรียน หรือให้ไปหาความรู้มาตอบ

และที่สําคัญควรไม่ให้ผู้เรียนรู้สึกผิด และหากสถานการณ์นั้นมีการตามแพทย์แล้วแพทย์ไม่มา

พยาบาลควรใช้คําถามที่ชี้นําหรือให้ข้อเสนอแนะในการแก้ปัญหา (Proactive)

ร่วมกัน โดยครูถามว่ารู้สึกอย่างไรกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ตามหลัก de- brief ดังอธิบายข้างต้น

 

4. กลุ่มสังเกตการณ์ (observe) ให้สังเกตพฤติกรรมและจดบันทึก และมา de- brief

 

๘. Pre-Brief from idea to reality

1. เพื่อทบทวน หาข้อสรุปในประเด็นการทํา Pre-brief โดยต้องชัดเจนเรื่องวัตถุประสงค์,

2. ทบทวนเนื้อหาและประเด็นโครงสร้าง (องค์ประกอบของการทํา Pre-brief

3. ทบทวนกระบวนการทํา Pre-brief

4. การเตรียมร่างกายของการทํา Pre-brief เครื่องมือ อุปกรณ์

ความคาดหวังของผู้สอนและบทบาทของผู้เรียน

2. ความคาดหวังของนักศึกษา

3. บทบาทของผู้เรียน ทําให้เป็นคล้ายพยาบาลวิชาชีพ

5. เน้นเคารพครู เพื่อนร่วมทีม เปิดใจรับฟัง มีความซื่อสัตย์ ยอมรับข้อบกพร่องของตนเอง

เพื่อปรับปรุงแก้ไขโดยอาศัยแหล่งข้อมูล Technology เช่น มาตรฐานต่างๆ ของ INACSL

- International Nursing Association for Clinical Simulation and Learnin

- Professional Standards & Guideline (NMC, 2011) Simulation Learning

การวางแผน : สิ่งที่ควรคํานึงก่อนทําการสอน

1. Participant ผู้เรียนก่อนสอนต้องรู้ เขาเป็นใคร ทําอย่างไร ระดับชั้นปีอะไร

2. สิ่งแวดล้อม เวลาในช่วงไหนที่จะทํา, Ward , ICU , ER

3. อุปกรณ์ เครื่องมือ ตามประเภทของ Simulation ให้เพียงพอ

มีประสบการณ์การเรียนรู้อย่างไร เพื่อเลือกวิธีการจัดการเรียนการสอนโดย Simulation

1. ในแต่ละกลุ่มควรจะวางแผนขั้นการทํา Pre-brief

2. คํานึงถึงความเป็นวิชาชีพและประสบการณ์ที่ควรได้รับ

3. ควรจะทําว่า เขาเป็นใครและเป็นอย่างไร

4. Who : นักศึกษาเป็นใคร ชั้นปีอะไร มีความรู้ ประสบการณ์ , Learning style

5. How : จะสอนนักเรียนด้วยวิธีการอย่างไร

Standard of Best Practice Simulation ให้ Search จากทาง Internet เช่น Simulation

in Health โดยมาจากหนังสือ โดยเฉพาะ ทางโรงพยาบาลของ UK มีการใช้ Simulation

เพื่อใช้ทดสอบพยาบาล ก่อนที่จะรับเข้าทํางานโดยมี Standard ของโรงพยาบาล

 

๙. Designing and Writing Scenario

 

การออกแบบและการเขียน Scenario หลักการสําคัญต้องประกอบไปด้วย

๑. วัตถุประสงค์ ท่านคาดหวังว่าบทเรียนนี้จะให้ผู้เรียนได้รับความรู้เรื่องอะไร

ซึ่งต้องตั้งให้ชัดเจนว่าต้องการให้เกิดอะไร ระดับไหน

๒. ผลลัพธ์ของการเรียนรู้ ผู้เรียนจะต้องแสดงออกหรือมีความสามารถอะไรเมื่อสิ้นสุดในการเรียน

เช่น สามารถประเมินได้ สามารถแก้ไขปัญหาได้

 

3. ระดับความซับซ้อนของ Scenario ประกอบด้วย ๓ แบบ คือ

สถานการณ์ที่แสดงลักษณะการเปลี่ยนแปลงเพียงอย่างเดียวและมีการตอบสนอง

- ระดับง่าย (Simple) :

- ความยากง่ายระดับปานกลาง (Moderately difficult) :

แสดงลักษณะการเปลี่ยนแปลงในทางที่แย่ลงและมีอาการดีขึ้น

- ซับซ้อนมาก (Complex)

 

มีอาการเปลี่ยนแปลงเริ่มต้นและมีอาการเปลี่ยนแปลงที่ตอบสนองต่อการรักษา

๔. การวินิจฉัยโรคจากหุ่น อาจใช้ผล X-ray, scans, ผลการตรวจเลือด, ไฟล์ข้อมูล สื่อต่างๆ

เสียงต่างๆ, ผล EKG และสามารถใส่ไฟล์ข้อมูล X-ray, รูปภาพต่างๆ ที่แสดงอาการ เช่น อาการบวม,

neck vein engorment และผลเลือด

 

4. ต้องเลือกรูปแบบการ de-brief ให้เหมาะสม

 

- จะต้องมีข้อมูลที่เพียงพอ บอกสถานการณ์ผู้ป่วยให้นักศึกษารู้

 

- จัดบริบทของ Scenario ให้เหมาะสมและชัดเจน

 

- ให้นักศึกษารับรู้เวลาในการทํา Scenario เช่น เริ่มต้นสถานการณ์

 

อุปกรณ์และเครื่องมือจะต้องเตรียมให้เหมาะสมกับกิจกรรมที่นักศึกษาจะต้องปฏิบัติ

 

และส่งเสริมให้มีโอกาสในการตัดสินใจและเลือกใช้อุปกรณ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์

 

-บทบาทผู้เรียน ต้องกําหนดให้ชัดเจนว่านักศึกษาอยู่ในสถานการณ์นี้อยู่ในบทบาทอะไร เช่น

 

- บทบาท Facilitator เป็นผู้เอื้ออํานวยการในการให้นักศึกษาปฏิบัติในสถานการณ์

 

จะต้องดูแลและคอยสังเกตดูนักศึกษาถ้านักศึกษาทําไม่ได้ต้องให้การช่วยเหลือ

 

1. เขียน Scenario โดยมีแบบฟอร์มให้ดู โดยผู้ป่วยเป็นโรค COPD

 

2. กําหนดให้ผู้ป่วยมาด้วย chest infection and exacerbation และมีอาการแย่ลง

 

3. ให้เขียนข้อมูลตามหลักการ (ตามเอกสารแนบที่อาจารย์แจกให้ทํา)

 

1. สิ่งที่ต้องพิจารณาเสมอ เราจะนําเสนออะไร อย่างไร ในการ Pre-Brief

 

2. ควรมีโครงร่างอย่างชัดเจนในการ Pre-Brief

 

๑. การยกตัวอย่างของการ Pre-Brief

 

๒. นักศึกษาควรเริ่มต้นในชั้นปีที่ ๒

 

๓. สถานการณ์ต้องกระตุ้นให้ผู้เรียนจดจ่อและอยากจะช่วยเหลือ

 

แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานความรู้และประสบการณ์ของผู้เรียน

 

๑o. การวางแผนออกแบบการช่วยเหลือในการเรียนโดยใช้สถานการณ์จําลอง

 

จุดประสงค์การเรียน เพื่อหาวิธีในการวางแผนและออกแบบศูนย์การเรียนรู้โดยใช้สถานการณ์จําลอง

 

ผลลัพธ์การเรียนรู้เรื่องนี้ ผู้เรียนควรบอกได้ว่า

 

๑. ทําไมจึงมีความจําเป็นต้องใช้สถานการณ์จําลองและประโยชน์ที่ผู้เรียนจะได้จากการเรียนแบบนี้

 

๒. ใครจะเป็นผู้ชี้แจงและบอกจุดประสงค์ที่ผู้เรียนควรจะต้องเรียนรู้

 

๓. วางแผนว่าจะทําการเรียนรู้นี้ต้องใช้อุปกรณ์และจัดสถานที่ที่ไหนจึงจะเหมาะสมกับวิธีการสอนโดยใช้

 

๔. เมื่อไรจะเป็นเวลาที่เหมาะสมในการเรียนนี้

 

๕. ตัดสินใจ วางแผน วางกระบวนการเรียนรู้ด้วยวิธีนี้อย่างไร

 

สาเหตุที่การเรียนในสถานการณ์จําลองมีความจําเป็นสําหรับผู้เรียน เพราะ

 

๒. เพื่อให้ผู้เรียนเกิดความมั่นใจในตนเอง

 

๔. เพื่อให้ผู้เรียนสามารถสื่อสารกับทีมงานได้อย่างถูกต้อง เกิดความเข้าใจตรงกัน

 

จะเห็นได้จากความคิดเห็นจากบทความของบุคคล ดังต่อไปนี้

 

- Klipfel et al. (๒๐๑๔, p.๓๙) ได้กล่าวไว้ว่า

 

สถานการณ์จําลองทําให้บุคลากรทางสุขภาพมีความสามารถทางการสื่อสารและเกิดทักษะในการทํางานเป็นที

 

- Griswold et al. (๒๐๑๒)

 

กล่าวว่าการสอนโดยสถานการณ์จําลองมีหลักฐานเชิงประจักษ์ว่าเป็นการสอนที่ดีและเกิดความปลอด

 

ภัยต่อชีวิตผู้ป่วย การใช้หุ่นจําลองผู้ป่วยทําให้นักศึกษาเกิดความมั่นใจในตนเองและมีความรู้มากขึ้น

 

ทั้งตัวนักศึกษาเองและเพื่อนนักศึกษาที่อยู่ในทีมฝึกปฏิบัติงานในสถานการณ์จําลอง เพราะมีการฝึกปฏิบัติงาน การสะท้อนความคิดซึ่งทําให้การปฏิบัติงานดีขึ้นปัจจุบันประเทศที่ใช้การเรียนการสอนโดยใช้สถานการณ์จําลอง ได้แก่ แคนาดา, อเมริกา, ยุโรป, การจัดหลักสูตรสิ่งที่ต้องคํานึงถึงคือความเชื่อมโยงระหว่างกระบวนการสอน การประเมิน

กระบวนการสอน

 

หุ่น : หุ่นอะไร (SimMan , SimMom), ราคา , ระบบปฏิบัติการ

 

อุปกรณ์ในคลินิก : set IV fluid , สายออกซิเจน, monitor, Defibrillator, เครื่องวัดความดันโลหิต

 

อุปกรณ์อื่นๆ : เตียง, โต๊ะ, เก้าอี้ ผ้าม่าน, ผ้าปูที่นอน, ถุงมือ ฟอร์ม

 

อุปกรณ์ติดผนัง : อ่างล้างมือ, ชั้นวาวชงของ, วัสดุปูพื้น

 

อุปกรณ์อิเลคทรอนิค : คอมพิวเตอร์, โปรแกรม, กล้องวิดิโอ

 

เราจะจัดการเรียนการสอนด้วย simulation เช่น ฝึกพยาบาลที่ต้องการความเชี่ยวชาญพิเศษ

 

หรือก่อนปฏิบัติงานกับผู้ป่วยจริงเพื่อให้เกิดความมั่นใจ และความปลอดภัยกับผู้ป่วย

 

งบประมาณ เรามีงบประมาณในการบริหารจัดเท่าไร งบประมาณหลัก ได้จากภายในหรือภายนอก

วิธีการ ใช้การประมูลหรือการจัดซื้อคํานึงถึงการรักษาสภาพของอุปปกรณ์ หุ่นจะรักษาให้

ใช้ได้นานเพียงใด และการพัฒนาในอนาคตฝุ่นละอองอาจทําให้เกิดการชํารุด อุปกรณ์ชํารุดไม่พร้อมใช้งานจริง มีข้อจํากัดในเรื่องพื้นที่ เสียง ใครบ้างที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ Simulationการจัด Simulation เกิดจากการร่วมกันคิดว่าทําอย่างไรจึงมีความเป็นไปได้และเกิดประโยชน์

ใครเป็นทีมที่ร่วมสอน ใครเป็นผู้เรียน ต้องการแหล่งทรัพยากรใดบ้าง ทําที่ไหน ทําไมอังกฤษจึงมีนโยบายในการใช้สถานการณ์จําลองในการเรียนดูได้จากแผนภูมิการใช้เทคโนโลยีในการเรียนนี้

แผนภูมิ แสดงการใช้เทคโนโลยีในการเรียนที่เน้นการเรียนรู้โดยใช้สถานการณ์จําลอง

ผู้ป่วยเป็นศูนย์กลางการให้บริการผู้ป่วยปลอดภัยมากขึ้น เพิ่มประสบการณ์การเรียนรู้ของผู้เรียน

ผลลัพธ์การเรียนรู้มีคุณภาพสูงการเรียนรู้จากสถานการณ์จําลอง เป็นการเรียนรู้ที่ซับซ้อนหลากหลายเพราะการเรียนรู้จากสถานการณ์จําลอง เป็นการเรียนรู้จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงที่หลากหลาย สามารถกลับมาทําซ้ําได้ จากสภาพการเรียนรู้และจากปัญหาที่เกิดขึ้นในระหว่างที่เรียน อาจกล่าวได้ว่า ผู้เรียนจะถูกคาดหวัง ในการประเมินผลการปฏิบัติงานเช่นเดียวกับในสภาพการณ์จริง จัดสิ่งแวดล้อมที่คํานึงถึงความปลอดภัยของผู้ป่วยเป็นหลัก และเพิ่มความสามารถของนักศึกษาโดยให้มีการปฏิบัติงานซ้ําๆ จนนักศึกษาสามารถมีความรู้และทักษะที่พร้อมจะปฏิบัติงานในสถานการณ์จริงได้

การวางแผนเกี่ยวกับศูนย์ Simulation ควรจะต้องมีความครอบคลุมและเกิดความร่วมมือจากภาคส่วนอื่น โดยคํานึงถึง เพราะอะไรจึงจําเป็นต้องมีศูนย์ Simulation ใครเป็นผู้ใช้ ต้องการแหล่งทรัพยากรใดบ้าง ใครจะเป็นผู้สร้างหรือดําเนินการ และจะพัฒนาเมื่อไรผู้ที่ควรจะต้องเรียนรู้โดยใช้ Scenario ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความแตกต่างของหน่วยงาน บางทีอาจจะต้องใช้ Scenario ในหน่วยงานทางการศึกษา เกี่ยวกับการพยาบาลหรือทางด้านคลินิคที่ต้องมีความชํานาญเฉพาะทาง กลุ่มคนที่ต้องการพัฒนาการทํางาน เป็นทีม ลดปัจจัยเสี่ยงในการดูแลคนไข้ นอกจากนี้ผู้ที่ควรใช้ Scenario แบ่งเป็น ๒ กลุ่ม ผู้ที่จะต้องดูแลผู้ป่วย การจัดนิทรรศการเพื่อให้บุคคลภายนอกได้เรียนรู้ในสถานการณ์ต่างๆ

 

เกี่ยวกับคนไข้ในลักษณะต่างๆ เกี่ยวกับวิธีการช่วยเหลือ เป็นต้น

 

1. กลุ่มภายนอก เช่น นักเรียนที่อบรมระยะสั้น อายุน้อยกว่า ๑๘ ปี นักเรียนแพทย์

 

2. กลุ่มภายใน เช่นนักเรียนพยาบาล แผนกเด็ก ผู้ใหญ่ จิตเวช ผดุงครรภ์ นักกายภาพบําบัด และที่สําคัญคือ ผู้สอน Scenario ต้องมีทีมที่คอยอํานวยความสะดวกและมีประสบการณ์ซึ่งประสบความสําเร็จได้ต้องมีผู้สนับสนุนให้โอกาส และให้ความร่วมมือในการสอน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ก็ช่วยให้เกิดการพัฒนาให้เกิดความชํานาญ การทํางานเป็นทีมและมีเครือข่ายในการทํางาน การจัดการเรียนการสอนโดยใช้ Scenario เพื่อให้การจัดการเรียนการสอนเป็นไปด้วยความเรียบร้อยต้องมีดังนี้

การดําเนินงาน และเนื้อหา และโปรแกรมการจัดการเรียนการสอน

 

1. การบริหารจัดการ ต้องมีการมอบหมายงาน มีผู้ที่รับผิดชอบ ต้องแต่ โครงการ

 

2. การบํารุงรักษา ผู้ดูแลวัสดุอุปกรณ์ สามารถที่จะบํารุงรักษาและซ่อมแซมได้

 

3. การพัฒนา

 

ต้องมีกลุ่มทํางานที่จะคอยสนับสนุนในด้านเทคโนโลยีและต้องทันสมัยตลอดเวลาต้องมีการวางแผนห้องจะใช้ที่ไหน ขนาดเท่าไร บุคคลที่จะเข้ามาใช้ จะใช้ Scenario ในหลักสูตรในชั้นปีไหนบ้าง ซึ่งความจําเป็นในการใช้ในแต่ละแผนกที่แตกต่างกัน เช่น ลักษณะห้องสมุด ICU ,Ward ห้องผ่าตัด สิ่งแวดล้อมภายในบ้าน สถานที่ในการฝึกการล้างมือ การช่วยฟื้นคืนชีพ ซึ่งแต่ละสถานการณ์ ลักษณะห้องก็จะมีความแตกต่างกัน นอกจากนี้ สถานที่สําหรับผู้สอนในกรณีใช้สอนการ Debrief จะใช้ที่ไหนได้บ้าง เช่น ใช้ในห้องเรียน ห้องควบคุม ซึ่งจะต้องประยุกต์การใช้ห้องเรียนให้เหมาะสมกับจํานวนผู้เรียนและขนาดของห้องเรียนที่จะใช้

๑๑.วิธีการลง Scenario ในโปรแกรม Sim-Man

 

๑. Double click ที่ Sim-man icon เข้าระบบโดยการเลือกชื่อและใส่password หรือ ไปที่ผู้ใช้รายใหม่

 

๒. หากต้องการปรับค่าต่างๆเป็นระบบ manual control สามารถทําได้โดย เลือก click และปรับเพิ่ม/ ลด

 

D อุณหภูมิร่างกาย (เลือด/ส่วนปลาย)

 

F เสียงต่างๆ เช่น ไอ จาม การตอบโต้ ด้วยคําพูด

 

H กระเพาะปัสสาวะ ตําแหน่งอยู่ที่รูปคน

 

A B

 

F

 

G

 

I H

 

E

 

๓.ขั้นตอนการสร้างเฟรมเหตุการณ์ต่อเนื่อง ให้ไปที่ Menu bar เลือก edit เลือก drop down และ ไปที่

 

๔ .เมื่อปรากฏหน้าต่าง Laerdal Scenario Editor for Simulation ( new scenario SimMan)

 

ซึ่งเป็นหน้าต่างที่จะใช้เพื่อสร้างสถานการณ์ต่อเนื่อง จะมีหน้าต่างสามารถสร้างได้เป็นช่วงๆ

 

โดยจะใช้วิธีการเลือกระบุข้อมูลเหมือนกันในทุกช่วงสถานการณ์ (Frame)

 

และนํามาเชื่อมโยงเป็นสถานการณ์ที่ต้องการซึ่งจะกล่าวถึงในข้อถัดไป วิธีการสร้างสถานการณ์แต่ละช่วง

 

สถานการณ์เริ่มต้นช่วงที่ ๑(Frame ๑:F๑) หาก Click ที่คําว่า

 

Patient จะเปิดหน้าต่างข้อมูลเบื้องต้นของผู้ป่วย (Patient description : A๑)

 

โดยจะสามารถใส่รูปข้อมูลเบื้องต้นของผู้ป่วย (ที่ผู้สอนมีเก็บไว้ใน hard drive หรือ thump drive)

 

เพื่อให้ผู้เรียนได้อ่านจากหน้าจอแสดงเมื่อเริ่ม Scenario (หรือจะใช้วิธีการเขียนข้อมูลลงกระดาษ และ/

 

A1

 

1

 

๕. วิธีการเลือกข้อมูลให้ปรากฏบน Monitor ของผู้เรียน

 

หากต้องการจะเลือกแสดงผลข้อมูลบางส่วนที่จําเป็น บนจอ Monitor สําหรับผู้เรียน

 

สามารถทําได้โดย Click ที่คําว่า Monitor (ลูกศรสีส้ม) จะปรากฏ หน้าต่าง Default

 

Layout (A๒) ให้เลือกข้อมูลที่ปรากฏจากแถบพารามิเตอร์สีดํา จากนั้นข้อมูลจะไปยังช่อง

 

Available parameters ด้านขวามือ (ลูกศรสีเหลือง) ให้เลือกข้อมูลที่ไม่ต้องการซึ่งอยู่ในช่องนี้

 

จากนั้นกดที่ (ลูกศรสีเขียว) เพื่อส่งข้อมูลไปที่ Unavailable parameters จากนั้นคลิกที่

 

OKข้อมูลที่ไม่ต้องการจะหายไปจากหน้าจอแสดงผลของผู้เรียน

 

หมายเหตุ ด้านซ้ายมือของหน้าต่าง Monitor setup จะมี wave form ในรูปแบบต่างๆ

 

ที่ต้องการแสดงให้ผู้เรียนเห็น สามารถเลือกรูปแบบ wave form ตามรูปที่ต้องการได้แล้ว คลิก OK

 

A2

 

1

 

๖. การใส่ข้อมูลต่างๆ ในแต่ละช่วงสถานการณ์ ทําได้โดยเลือกที่ไอคอน Action

 

และเลือกตั้งค่าตามที่ผู้สอนต้องการ เมื่อตั้งค่าได้ตามที่กําหนดให้คลิก OK

 

จากนั้นข้อมูลที่เลือกจะปรากฏในเฟรม (F๑)

 

ข้อมูลการกําหนดค่าต่างๆ มีรายละเอียดพอสังเขป ดังนี้

 

ค่าออกซิเจนในเลือด อุณหภูมิกาย

 

เสียงต่างๆ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ประโยคโต้ตอบ (ใส่ได้เฟรมละ ๑ อย่างเท่านั้น)

 

การเชื่อมต่อข้อมูลเพิ่มเติม เช่น ภาพ x ray, CT scan

 

การกําหนดการเชื่อมต่อเฟรม

 

การเชื่อมต่อระหว่างสถานการณ์

 

๗. การเชื่อมสถานการณ์แต่ละช่วงให้ต่อเนื่อง ทําได้โดยคลิกที่

 

เพื่อเพิ่มชื่อสถานการณ์ที่ต้องการการเชื่อมโยง จากนั้นจะปรากฏหน้าต่าง Edit

 

Menu (ลูกศรสีแดง) เลือก add event จากนั้นไปที่ช่อง Miscellaneous

 

(ลูกศรสีเขียว) คลิกขวาเพื่อเพิ่มเส้นทางให้กับสถานการณ์ว่าจะดีขึ้น หรือ

 

แย่ลงโดยสามารถตั้งชื่อที่แตกต่างกันเพื่อให้ง่ายแก้การจดจําในแต่ละช่วงสถานการณ์

 

๘.การสร้างสถานการณ์ช่วงถัดไป สามารถเพื่อช่วงสถานการณ์ (Frame) ได้ ด้วยการคลิกที่

 

เพื่อเพิ่มเฟรม และดําเนินการตั้งค่าต่างๆ ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงตามวิธีการในข้อที่ ๖

 

๙. การเชื่อมสถานการณ์ทําได้โดยไปที่ไอคอน

 

แล้วเลือกชื่อสถานการณ์ที่ต้องการซึ่งได้ทําการเชื่อมต่อไว้

 

จากนั้นนํามาใส่ในช่องส่วนท้ายของเฟรมที่จะเชื่อมไปสถานการณ์ถัดไป (ลูกศรสีเขียว) หลังจากนั้นให้คลิกที่  เพื่อทําการลากเส้นเชื่อมโยงระหว่างชื่อสถานการณ์จากไอคอนก่อนหน้าไปสู่เฟรมที่ต้องการถัดไป

หมายเหตุ สามารถเปลี่ยนชื่อในสถานการณ์แต่ละช่วงให้ไปที่ชื่อเฟรม (ลูกศรสีเหลือง)

 

คลิกขวาแล้วเปลี่ยนชื่อสถานการณ์ได้จากนั้น กด enter

 

๙.การเริ่มเล่น Scenario ไปที่ Menu bar เลือกที่ file และ click ที่ Start scenario

 

จากนั้นระบบจะเริ่มเล่น ตามค่าที่ได้ตั้งไว้ เมื่อต้องการเปลี่ยนช่วงสถานการณ์ไปสู่ช่วงต่อไป ให้เลือกที่

 

Miscellaneous (ลูกศรสีส้ม) แล้วเลือกช่วงสถานการณ์ที่ตั้งค่าไว้

 

หมายเหตุ การเลือกช่วงสถานการณ์จะต้องมีการเชื่อมต่อสถานการณ์ไว้ โดยห้ามเลือกข้ามขั้นตอนเช่น

 

จากเฟรมที่ ๑ ไปเฟรมที่ ๓ โดยที่ไม่ผ่านเฟรมที่สอง ซึ่งจะเลือกสถานการณ์จากเฟรมที่ ๑

 

ไปเฟรมที่ ๓ ได้เมื่อมีการเชื่อมโยงเฟรม ที่ ๑ ไปหาเฟรมที่ ๓ เท่านั้น และการเชื่อมโยงสถานการณ์

 

สามารถเชื่อมโยงได้มากกว่าหนึ่งเส้นทาง ดังรูป

 

Moulage มาจากภาษาฝรั่งเศส แปลว่า การทําต้นแบบ เป็นการทํา Trauma effect

 

เพื่อให้นักศึกษาได้ฝึกประเมินผู้ป่วยที่มีบาดแผลลักษณะเสมือนจริง

 

1. เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับความปลอดภัย

 

2. เพื่อฝึกทําต้นแบบ : ซีด เขียว มีเหงื่อออก ผื่นแดง แผลฟกช้ํา แผลฉีกขาด

 

- ควรล้างมือให้สะอาดเพื่อลดการปนเปื้อนผลิตภัณฑ์

 

- Trauma effect product มีความปลอดภัย แต่อย่างไรก็ตามควรให้คําแนะนํากับผู้ที่แพ้ง่าย

 

- ระมัดระวังเมื่อใช้ผลิตภัณฑ์บริเวณรอบดวงตา จมูก และปาก

 

- ไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์บริเวณผิวหนังที่มีบาดแผล

 

- Trauma effect product ทุกชนิดสามารถล้างออกได้ แต่อาจใช้เสื้อผ้าที่เก่าแล้ว

 

- ควรถอด contact lenses เพื่อลดอันตรายและการระคายเคืองต่อดวงตา

 

- Wooden spatula ไม่ควรใช้ปนกัน

 

- Sponge wedges ควรใช้แยกกันแต่ละคน

 

- Eye makeup applicators และไม่พันสําลี ใช้ single use

 

- Sponge wedges applicator

 

- Sweat Applicator Sponge

 

วิธีทํา ทา shock color cream ให้ทั่วใบหน้า ใช้ wooden spatula ตัก blue bruise gel

 

เล็กน้อยป้ายไว้บนหลังมือ แล้วใช้นิ้วมือป้ายเจลลงบนปลายจมูก ริมฝีปาก รอบดวงตา และโหนกแก้ม

 

หากใช้ปริมาณมากเกินไป sponge wedges ซับออก หลังจากนั้นใช้ sweat applicator sponge

 

วิธีทํา ใช้ wooden spatula ตัก red bruise gel เล็กน้อยป้ายไว้บนหลังมือ

 

วิธีทํา ใช้ wooden spatula ตัก red bruise gel เล็กน้อยป้ายไว้บนหลังมือ

 

ทาและตบเบาๆลงบนบริเวณที่ต้องการทําแผลฟกช้ํา ใช้ blue bruise gel ป้ายทับลงไปให้เกิดเงาของสี ใช้

 

bruise wheel ป้ายทับลงไปให้เกิดสีคล้ําชัดเจนขึ้น ใช้ wet wipe ซับออก

 

วิธีทํา ทําเช่นเดียวกับแผลฟกช้ํา (Bruise) แล้วใช้ plastic spatula ตัก scab/scratch product

 

เล็กน้อย แล้วกรีดลงบนแผลบนบริเวณที่ต้องการ เพื่อให้แผลดูมีความลึก และเติม sticky blood

 

ลงไปบนรอยแผลที่สร้างไว้ เพื่อให้ดูเสมือนมีเลือดไหลออกมาจากแผล

 

วิธีทํา ทําเช่นเดียวกับแผลฟกช้ํา จากนั้นสร้างแผลเพิ่มเติมให้มีลักษณะของแผลพุพอง โดยใช้ yellow

 

bruise gel ป้ายลงไปบนแผลเป็นวงกลม รอให้น้ําระเหยเพื่อให้แผลดูเสมือนจริง เติม sticky blood

 

ลงบนแผล พ่น black spray และใช้ wet wipe เช็ดสเปรย์บางส่วนออก แผลจะดูเสมือนจริงมากขึ้น

 

เทคนิคการสร้างบาดแผลโดยใช้ scar wax วิธีทํา ปั้น wax ให้เป็นรูปทรงยาวแล้วแปะลงบนผิวหนัง

 

กดขอบให้เรียบไปกับผิวหนัง จากนั้นใช้ plastic spatula กรีดลงบน wax ป้าย sticky blood

 

ให้ดูเสมือนเป็นลิ่มเลือดอยู่บนปากบาดแผล เติม face blood หรือเศษกระจกปลอม

 

นอกจากนี้ ยังมีบาดแผลสําเร็จรูปทําจากซิลิโคนที่มีลักษณะนิ่ม

 

ใช้สร้างบาดแผลที่เป็นลักษณะของCompound fracture หรือ Gun shot wound วิธีทํา ใช้บาดแผลซิลิโคน

 

ทากาวและแปะลงบนผิวหนัง ให้แนบสนิท จากนั้นสร้างแผลให้เสมือนจริงโดยเติม fresh scab/scratch

 

product ขั้นตอนสุดท้าย เติม face blood ให้ดูเสมือนมีเลือดไหลออกจากแผล

 

๑๒.ทักษะการ Facilitation simulation skills

 

วัตถุประสงค์คือ กําหนดบทบาทในการทํา simulation ซึ่งประกอบด้วย บทบาทที่สําคัญ 3 อย่างคือ

 

facilitator, participant/ team และ observer (ใช้เกมต่อหลอดให้สูงที่สุดมาสะท้อนเป็นความรู้ในการเป็น

 

บทบาทของผู้เรียน (participant/ team)

 

- การทํางานสอดคล้องกันหรือไม่

 

- มีคนที่ทําหน้าที่ช่วยเหลืออยู่คนเดียวหรือไม่

 

- มีคนทําหน้าที่คิดอยู่อย่างเดียวหรือไม่

 

- มีการปฏิบัติหลายๆ ทักษะเข้าด้วยกันหรือไม่ อย่างไร

 

- มีการสื่อสารทั้งวัจนภาษา หรืออวัจนภาษา หรือไม่อย่างไร

 

- มีการเคารพซึ่งกันและกันหรือไม่

 

- มีการเสนอความคิดร่วมกันหรือไม่

 

- มีการปฏิบัติ โดยร่วมกันคิดเป็นความเห็นของกลุ่มหรือไม่ อย่างไร

 

- ผู้เรียนที่ผ่านการทํา simulation มีการคาดการณ์ถึงความถูกต้อง หรือแย่ลงหรือไม่อย่างไร

 

ทั้งนี้บทบทของ facilitator อาจมีหลายรูปแบบ เช่น

 

- มีการกระตุ้นกลุ่มหรือไม่ อย่างไร ทําให้กลุ่มเกิดความมั่นใจหรือไม่อย่างไร

 

- มีการรบกวน หรือขัดขางการทํางานของทีมหรือไม่อย่างไร

 

- ผู้ที่เป็น facilitator มีประโยชน์มากน้อยเพียงใด

 

- มีการเสริมแรง ให้กําลังใจอย่างไรหรือไม่ หรือให้ข้อเสนอแนะที่ชัดเจนหรือไม่

 

- มีการหยุดเกม time out หรือไม่ หรือทํากี่ครั้ง

 

- ขณะดําเนินการอภิปรายกลุ่มมีความปลอดภัย หรือไม่ มีสิ่งที่ท้าทายต่างๆ หรือไม่

 

- มีการให้ข้อเสนอแนะ หรือให้คําแนะนําหรือไม่

 

- มีการคิดก่อนให้ข้อเสนอแนะต่อกลุ่มหรือไม่

 

- เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติตามที่ได้เรียนผ่านมาแล้ว

 

มีทักษะมาก่อนหรือนําความรู้มาปฏิบัติเพียงใด

 

1. ให้คําแนะนําระหว่างแสดงสถานการณ์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ หรือขัดขวางการเรียนรู้

 

2. ปรับบทบาทตามสถานการณ์ที่เหมาะสมต่อผู้เรียน เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ให้มากขึ้น

 

3. คิดถึงผลลัพธ์การเรียนรู้ หรือวัตถุประสงค์การเรียนรู้

 

อย่างไรก็ตามบทบาทของ facilitator จะต้องใช้หลาย ๆ ทักษะ เช่น

 

ทักษะการสื่อสารเพื่อเอื้อให้ผู้เรียนปฏิบัติได้

 

หรือคอยช่วยเหลือกรณีผู้เรียนไม่ชอบการฝึกโดยใช้รูปแบบนี้

 

บทบาทของ ผู้สังเกตการณ์ (Observer)

 

- สังเกตการณ์แบ่งงานในกลุ่มอย่างไร ใครเป็นผู้เรียน ผู้สอน

 

- มีใครกลัวการเล่นหรือไม่แสดงออกอย่างไร

 

- มีการแก้ปัญหาหรือไม่เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายต่อกลุ่มอย่างไร

 

- มีการปฏิบัติเพื่อการช่วยเหลืออย่างไร

 

- การแสดงเป็นไปตามวัตถุประสงค์การเรียนรู้หรือไม่

 

- กลุ่มมีการจัดการอย่างไรในผู้ที่มีอาการโกรธ ไม่อยากทํา

 

- ผู้เรียนมีความแตกต่างของความรู้กับสิ่งที่ต้องปฏิบัติหรือไม่ อย่างไร

 

- บางครั้งกลุ่มอาจไม่สามารถแสดงการดูแลได้อย่างเหมาะสม

 

เนื่องมาจากขาดการเตรียมการของผู้สอน

 

๑๓. เรื่องปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ Simulation

 

๑. ปัญหาการใช้หุ่นและเทคโนโลยีสถานการณ์ SBL เป็นเรื่องที่อาจเกิดขึ้นได้ ผู้สอนใน SBL

 

จําเป็นต้องการทราบวิธีที่จะแก้ไขเมื่อพบว่ามีปัญหาที่เกิดขึ้น ปัญหาที่พบได้บ่อย ได้แก่

 

I. ทรวงอกของหุ่นไม่เคลื่อนไหวตามการหายใจ

 

II. ค่า Blood Pressure ที่วัดได้แตกต่างจากที่กําหนดไว้ในสถานการณ์

 

III.จอภาพดับและหุ่นไม่ทํางาน

 

VI.สถานการณ์ (Scenario) ไม่ได้ดําเนินไปตามที่กําหนดไว้

 

1. ทรวงอกของหุ่นไม่เคลื่อนไหวตามการหายใจ แก้ไขได้โดย

 

- ตรวจสอบว่าวาล์วสีน้ําเงินเปิดอยู่

 

- ปล่อยลมออกจากเครื่องปั้มลม (compressor)

 

เนื่องจากบางครั้งอาจมีลมค้างอยูในเครื่องอาจทําให้เครื่องไม่ทํางาน

 

การปล่อยลมทําได้โดยการเปิดวาล์วสีแดงและเปิดเครื่องใหม่อีกครั้ง

 

- ตรวจสอบท่อและข้อต่อระหว่างเครื่องปั้มลมและหุ่นให้เสียบเข้าด้วยกัน

 

- ตรวจดูว่า Software กําลังทํางานอยู่โดยดูจาก Linkbox

 

2. ปัญหาการวัดค่า Blood Pressure ที่วัดได้แตกต่างจากที่กําหนดไว้ในสถานการณ์

 

ในบางครั้งมีวัตถุประสงค์การเรียนรู้ให้ผู้เรียนสามารถประเมินค่าความดันโลหิตให้ถูกต้อง

 

แต่อาจพบได้ว่านักเรียนวัดค่าได้ไม่ตรงกับที่กําหนดไว้ที่หุ่น ให้ดําเนินการดังนี้

 

- ตรวจดูการตั้งค่า Korotkoff Sounds ให้ตั้งค่าเสียงให้ดังที่สุด

 

- Calibrate ค่าแรงดัน Systolic และ Diastolic ที่หุ่นและที่โปรแกรมให้ตรงกัน

 

- Auscultatory Gap on/off feature ตรวจสอบหูฟังว่ามีการเปิดหรือปิด

 

- วิธีการ Calibrate ค่าความดันโลหิต ดําเนินโดยใช้คน 2 คน

 

ว่ามีไฟสีแดงขึ้นแสดงว่าเครื่องทํางานอยู่

 

คนแรกเข้าไปในโปรแกรมควบคุมหุ่น ไปที่เมนู แล้ว click Calibrate

 

เพื่อกําหนดค่าความดันโลหิตให้ตรงกับสถานการณ์ และคนที่สอง ให้บีบ cuff BP

 

ค้างไว้ให้ได้ค่าตรงกับที่กําหนดไว้ที่หุ่น

 

3. จอภาพดับและหุ่นไม่ทํางาน ให้ดําเนินการดังนี้

 

- ตรวจสอบที่ Linkbox ว่ามีไฟแดงสว่างขึ้นหรือไม่ และดูการเชื่อมต่อของสายระหว่าง

 

Linkbox กับว่ามีการเชื่อมต่อหรือไม่

 

- ตรวจสอบสายการเชื่อมต่อของสายระหว่างหุ่นกับจอภาพ

 

- Reboot หุ่นและเครื่องคอมพิวเตอร์พร้อมกัน

 

4. ไม่มีเสียงออกจากหุ่น ให้ไปที่โปรแกรมและดําเนินการดังนี้

 

- คลิกเมนู Edit ที่มุมซ้ายบน

 

- เลือก รูปไมโครโฟน

 

- คลิกเลือก ไมโครโฟน In use “Primary Sound Capture Driver”

 

- กําหนดค่าความดังของเสียง

 

- ตรวจสอบที่ปุ่มลําโพงที่มุมล่างขวา

 

5. จอภาพผู้ป่วยค้าง ดําเนินแก้ไขโดยใช้โปรแกรม elo เมื่อปุ่มไอคอนโปรแกรมนี้

 

จะปรากฏอยู่ที่มุมล่างซ้ายของเมนู bar ของเครื่องคอมพิวเตอร์ และให้ดําเนินการดังนี้

 

- Double คลิกที่ไอคอน elo และคลิกที่ปุ่ม “รูปเป้าปืน” และกด “esc” ที่คีย์บอร์ด

 

- สัมผัสที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ของผู้ป่วยตามต้องการที่จะให้ปรากฏค่า EKG หรือ HR

 

6. สถานการณ์ (Scenario) ไม่ได้ดําเนินไปตามที่กําหนดไว้

 

มักเกิดจากการออกแบบสถานการณ์ไม่ถูกต้อง Scenario จะดําเนินการไปข้างหน้า

 

โดยไม่สามารถย้อนกลับสู่สถานการณ์เดิมได้ ดังนั้นหากต้องการให้ผู้ป่วยดีขึ้นหรือแย่ลง

 

จะต้องกําหนด Frame สถานการณ์ใหม่และคลิกเชื่อมสถานการณ์ให้ถูกต้อง ต่อเนื่องกัน

 

แก้ไขทําได้โดยการกลับเข้าไปแก้ไขและออกแบบสถานการณ์ใหม่อีกครั้ง

 

สถานการณ์จําลอง และการประเมินการเรียนรู้

 

การประเมินการเรียนรู้ในสถานการณ์จําลอง

 

1. สิ่งที่ต้องประเมินคืออะไรบ้าง

 

- เทคนิคการปฏิบัติงานในคลินิก เช่นการประเมินสภาพผู้ป่วย

 

การสังเกตอาการและอาการแสดงของผู้ป่วย ฯลฯ

 

- Human factors ปัจจัยทางบุคคล เช่น การสื่อสาร การทํางานเป็นทีม ภาวะผู้นํา

 

- การตัดสินใจและการใช้เหตุผลทางคลินิก

 

- ประเมินความรู้และการใช้ความรู้

 

- ประเมินในขณะที่อยู่ในสถานการณ์จําลอง

 

- ประเมินภายหลังสถานการณ์จากการบันทึกวีดิโอ

 

- ประเมินโดยการซักถาม

 

4. การประเมินตามสภาพจริง

 

- Mueller (2006) กล่าวว่า การประเมินตามสภาพจริง มาจากความคิดที่ว่า

 

บัณฑิตจะต้องเป็นผู้ทีมีความสามารถในการปฏิบัติงาน

 

ดังนั้นการประเมินตามสภาพจริงเป็นวิธีที่ทําให้นักศึกษาได้ฝึกฝนและท้าทายให้เผชิญกับโลก

 

- การประเมินตามสภาพจริงเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและยากที่จะดําเนินการ

 

- การจัดการเรียนการสอน Simulation จําเป็นต้องประเมินตามสภาพจริง

 

- ใช้ในการประเมินการทํางาน

 

- เป็นการประเมินแบบบูรณาการในเรื่องความรู้ ทักษะการปฏิบัติ การแก้ปัญหา

 

การคิดอย่างมีวิจารณญาณ

 

- ประเมินนักศึกษาได้อย่างรวดเร็วจากสิ่งที่นักศึกษาทํา

 

1. นักศึกษาจะต้องมีสถานการณ์ที่เหมือนกัน เครื่องมือ ความซับซ้อนของโจทย์เหมือนกัน

 

2. โจทย์สถานการณ์อาจมีความแตกต่างกัน

 

3. ใช้การประเมินโดยใช้วิธีการผ่าน/ตก

 

4. หุ่นจะต้องมีมาตรฐานเดียวกันแตกต่างกันได้ไม่เกิน 10%

 

5. ต้องมีแผนผังห้องสถานการณ์จําลอง

 

6. ต้องมีแนวทางและคําแนะนําให้กับนักศึกษา

 

7. มีการสนับสนุนอื่นๆเช่น ป้ายขั้นตอนการประเมิน SBAR , การประเมินABCD

 

ความตรงและความเชื่อมั่นของเครื่องมือประเมิน

 

1. ระดับของการประเมินได้จากเครื่องมือ เช่น การทํางานเป็นทีมสามารถวัดได้โดยกลุ่ม

 

2. ประเมินการตรงจากการแสดงสีหน้า

 

3. ความตรงด้านเนื้อหา

 

1. ผู้ประเมินแต่ละคนจะต้องประเมินการปฏิบัติของนักศึกษาได้เหมือนกัน เป็นแนวทางเดียวกัน

 

2. การวัดซ้ําของผู้วัดแต่ละคน

 

ต้องมีความเหมือนกันหรือใกล้เคียงกันสามารถหาความเชื่อมั่นได้โดยประเมินจากการดูวีดิโอ

 

จะต้องมีการประเมินหรือให้คะแนนที่เหมือนกัน

 

1. จะต้องให้นักศึกษารับรู้การประเมิน

 

2. ต้องให้คําแนะนํากับนักศึกษาก่อนว่าจะมีการทดสอบอะไร แจ้งวัตถุประสงค์ของการประเมิน

 

3. ต้องให้นักศึกษามีโอกาสได้ฝึกประสบการณ์ก่อนการทดสอบ

 

4. มีโอกาสที่จะฝึกประสบการณ์ด้วยตนเอง

 

5. นักศึกษาต้องได้รับการฝึกและให้คําแนะนําที่ครอบคลุมประเด็นที่ถูกประเมินทุกเรื่อง

 

6. เอกสารทุกชนิดเช่น แฟ้มผู้ป่วย โจทย์สถานการณ์ ฯลฯ

 

จะต้องถูกเตรียมให้กับนักศึกษาเป็นการล่วงหน้าทุกคน

 

ข้อควรรู้ แนวทางการประเมินเมื่อนักศึกษาทําผิดพลาด

 

- นักศึกษาก็สามารถผิดพลาดได้ (ทําผิดหรือลืมทํา)

 

- บอกข้อผิดพลาด

 

- บอกข้อควรแก้ไขและปฏิบัติใหม่

 

ความผิดพลาดบางอย่างไม่ได้ก่อให้เกิดอันตรายแต่

 

- ความผิดพลาดสามารถที่จะแก้ไขได้

 

(ความผิดพลาดลดหรือขจัดความเสี่ยงได้)

 

-

 

นักศึกษาสามารถอธิบายความเสี่ยงที่จะเกิดกับผู้ป่วยไ

 

ด้

 

การสอนให้รู้จักและรู้จักแก้ไขความผิดพลาดเป็นทั

 

๑๔. การประเมินทักษะทางคลินิก (Objective structured clinical examination :OSCE) OSCE

 

ประกอบด้วย ฐานการประเมินสั้นๆ 5-10 นาที

 

ที่ผู้เข้ารับการประเมินจะต้องถูกสอบเป็นรายบุคคลในแต่ละฐาน ทั้งในผู้ป่วยหรือผู้ป่วยจําลอง

 

(นักแสดงหรือหุ่น) แต่ละฐานจะต้องมีความแตกต่างในการทดสอบและหมุนเวียนผ่านแต่ละฐาน

 

1. Multiple unrelated systems

 

จัดได้ตั้งแต่ 1-9 ฐาน ขึ้นอยู่กับหัวข้อการประเมินและความซับซ้อนในการประเมิน

 

รูปแบบการสอนแบ่งผู้เรียนเป็น ๔ กลุ่ม กลุ่มละประมาณ ๙-๑๑ คน โดยแบ่งกันฝึกปฏิบัติสถานการณ์

 

(scenario) จํานวนทั้งหมด ๔ สถานการณ์ ได้แก่

 

1. การพยาบาลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง (stroke)

 

2. การพยาบาลผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (Chronic obstructive pulmonary disease ; COPD)

 

3. การพยาบาลผู้ป่วยโรคภาวะหัวใจเลือดคั่ง (Congestive heart failure)

 

4. การพยาบาลผู้ป่วยที่มีลมในเยื่อหุ้มปอด (Pneumothrorax)

 

ทั้งนี้ในการฝึกแต่ละสถานการณ์มีหลักการในรูปแบบเดียวกัน จึงขอยกตัวอย่างสถานการณ์ 1

 

สถานการณ์ (scenario) : การพยาบาลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง (stroke)

 

ผู้ป่วยชายชื่อ นายแสตนลี่ อายุ 76 ปี อาศัยตามลําพังในบ้านพัก

 

ต่อมามีอาการล้มป่วยซึ่งผู้ดูแลบ้านพักมาพบเห็นในเวลา 09.00 น.

 

จึงได้โทรศัพท์ตามรถฉุกเฉินเพื่อนําส่งโรงพยาบาล

 

ผู้นําส่งประเมินว่านายแสตนลี่น่าจะเกิดปัญหาจากโรคหลอดเลือดสมอง

 

ปฏิเสธการแพ้ยา มีปัญหาความดันโลหิตสูงตั้งแต่ปี ค.ศ. 1990

 

มีภาวะเจ็บหน้าอกตั้งแต่ปี ค.ศ. 1998

 

มีภาวะ Heart attack ในปี ค.ศ. 1995 และ 1998

 

การรักษา – Isosorbide Mononitrate 20 mg วันละ 2 ครั้ง

 

- Amlodipine 5 mg วันละครั้ง

 

- Co-codom0l (500) / 8 mg เมื่อมีอาการ

 

ให้ผู้เรียนฝึกปฏิบัติในบทบาทพยาบาลวิชาชีพที่ดูแลผู้ป่วยและการประเมินเพื่อรวบรวมข้อมูลที่เป็นปั

 

ญหาของผู้ป่วยโดยยึดหลักการประเมินตาม ABCDE ซึ่งปฏิบัติดังนี้

 

1. A = Airway ซักประวัติถามอาการ ประเมินทางเดินหายใจ

 

2. B = Breathing ดูลักษณะการหายใจ ฟังปอดและวัด O2

 

3. C = Circulation วัดสัญญาณชีพ ดู capillary refill ฟังเสียงหัวใจ ตรวจประเมินคลื่นไฟฟ้าหัวใจ

 

4. D = Disability ประเมิน Neurological signs (EVM)

 

5. E = Exposure จากการตรวจร่างกายที่ฟังปอดพบ wheezing O2

 

หลังจากพบปัญหาให้การช่วยเหลือโดยรายงานแพทย์เพื่อการรักษาโดยการรายงานยึดหลัก

 

1. S = situation แนะนําชื่อพยาบาลที่รายงานแพทย์ ชื่อหอผู้ป่วย ชื่อผู้ป่วย

 

2. B = Background ประวัติการเจ็บป่วยปัจจุบัน โรคประจําตัว การผ่าตัด

 

3. A = Assessment ระบุปัญหาที่พบและการพยาบาลที่ให้หรือไปแล้ว เช่น O2

 

พบว่าผู้ป่วยสามารถพูดคุยได้แต่สับสน ไม่มีอาการอุดกั้นทางเดินหายใจ

 

mask c bag 15 LPM

 

saturation พบว่าค่า O2

 

saturation ต่ํา ร่วมกับผล

 

Lab ABG ที่พบว่ามีภาวะ respiratory acidosis

 

ประเมินแล้วมีปัญหาอะไรบ้าง

 

การรักษาก่อนมานอนโรงพยาบาล

 

mask c bag 15 LPM

 

4. R = Recommendation

 

เสนอแนะแพทย์ให้เห็นความสําคัญที่ต้องรีบมาดูอาการผู้ป่วยให้ทันท่วงที

 

ผู้สอนบอกผู้เรียนให้ทราบรายละเอียดผู้ป่วย เช่น ประวัติผู้ป่วย ประวัติการเจ็บป่วยปัจจุบัน

 

ขณะทํากิจกรรมผู้สอนจะกระตุ้นให้ผู้เรียนปฏิบัติตามหลักกระบวนการ ABCDE โดยการตั้งคําถามนํา

 

เมื่อผู้ป่วยมาด้วย stroke จะประเมิน A อย่างไรและจะประเมิน B ด้วยวิธีใด

 

ผู้ป่วยมีความผิดปกติของ ABG จะตัดสินใจรายงานแพทย์หรือยัง

 

ความผิดปกติของ stroke จะตรวจพบจากอาการอะไรบ้าง

 

เมื่อรายงานแพทย์แล้วคิดว่าแพทย์จะมีแผนการรักษาอย่างไรต่อไป

 

การฟังปอดที่พบ wheezing ใน stroke และผู้ป่วยมีไข้ร่วมด้วย น่าจะเกิดจากปัญหาใด

 

และจะจัดการด้วยวิธีใด

 

saturation ต่ํา จะจัดการอย่างไร

 

กระบวนการ Debrief ผู้เรียนต้องการเวลาที่จะบอกความรู้สึก

 

การบริหารจัดการ การแบ่งหน้าที่ การสื่อสารในกลุ่มเล็กจะดีกว่ากลุ่มใหญ่

 

จํานวนคนที่เข้าเรียนควรเป็นกลุ่มเล็ก

 

เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเกิดการเรียนรู้ที่ดีและแสดงศักยภาพได้เต็มที่

 

การทําให้เสมือนจริงถูกต้องและแม่นยํา

 

การทําให้เสมือนจริงต้องทําให้หุ่นสามารถพูดคุยโต้ตอบได้ ใช้หุ่นให้เหมือนสถานการณ์จริง

 

ซึ่งการทําให้เสมือนจริงถูกต้องและแม่นยําประกอบด้วย

 

1. Environmental Fidelity การจัดสถานการณ์บรรยากาศห้อง ให้เสมือนจริง เช่นเสียงโทรศัพท์ดัง

 

2. Equipment Fidelity การใช้หุ่นที่เสมือนจริง เช่นพูดได้ ร้องไห้ได้ กระพริบตา ฟังเสียงปอดได้

 

ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของผู้เรียนและถ้าแสดงให้เห็นจริงจะส่งผลให้ผู้เรียนมีความเข้าใจและคิดว่าเห

 

ข้อจํากัดของการทําให้เสมือนจริง

 

1. ด้านสิ่งแวดล้อม ห้องสําหรับการสอน Simulation อาจจะไม่เสมือนจริงโดยการใช้ห้องแทนกัน

 

เช่นการใช้ห้องฉุกเฉินแทนห้องผู้ป่วยหนัก แต่อย่างไรก็ตามต้องใช้ห้องให้เกิดความคุ้มค่า

 

ดังนั้นการจะรายงานสถานการณ์ต่างก็ต้องดูว่าขณะนี้อยู่วอร์ดอะไร

 

จะให้เหมือนที่โรงพยาบาลหมดทุกอย่างจะเป็นไปได้ค่อนข้างยากหรืออาจจะเป็นไปไม่ได้

 

เพราะการซื้อของบางอย่างอาจจะใช้คําสั่งแพทย์

 

ดังนั้นอาจจะขอความอนุเคราะห์จากโรงพยาบาลนําอุปกรณ์ที่ไม่ใช้แล้วมาใช้ในห้อง Simulation

 

3. ด้านอารมณ์และจิตใจ เนื่องจากหุ่นไม่ใช่คนจริง

 

อาจจะยากในการเข้าถึงจิตใจที่แท้จริง ดังนั้นการที่จะทําให้นักศึกษาคิดว่าได้อยู่ในสถานการณ์จริง

 

โดยให้ไปศึกษาจากสถานการณ์จริงหรืออาจจะให้นักศึกษาที่มีประสบการณ์ตรงเล่าให้เพื่อนคนอื่นๆ ฟัง

 

การที่จะแสดงให้เหมือนจริง ขึ้นอยู่กับความรู้สึกของผู้เรียน รวมถึงผู้สอนและหุ่น

 

การมีปฏิสัมพันธ์กับหุ่น เช่น เมื่อหุ่นพูดแล้วนักศึกษาพูดตอบโต้ได้ จะทําให้มีความเสมือนจริงมากยิ่งขึ้น

 

การเขียน Scenario ให้มีความน่าสนใจและเสมือนจริงต้องมีภาพประกอบ

 

เพื่อบอกถึงประวัติของผู้ป่วยต้องเชื่อมโยงกับประสบการณ์ของผู้เรียนให้คล้ายกับสถานการณ์จริง

 

โดยการเขียนสถานการณ์ต้องเสมือนจริง ต้องดูว่าโรคที่เขียนเป็นโรคที่พบบ่อยหรือไม่

 

และอาการจะต้องตรวจพบอะไร CXR พบปอดผิดปกติอย่างไร และการฟังเสียงปอดต้องสอดคล้องกับผล CXR

 

การกําหนดบทบาทของผู้เรียนต้องสัมพันธ์กับสถานการณ์ที่มีของโรงพยาบาล

 

CPR ผู้สอนสร้างสถานการณ์ให้นักศึกษาได้ฝึกจะทําให้ผู้เรียนลดความกลัว ความวิตกกังวล

 

การกําหนดสถานการณ์จะต้องดูประสบการณ์ของผู้เรียน เช่นนักศึกษาไม่เคย

 

และสิ่งที่สําคัญการเขียน Scenario ไม่ควรเขียนสถานการณ์ให้ผู้ป่วยอาการแย่ลงจนกระทั่งเสียชีวิต

 

เพราะจะทําให้นักศึกษาขาดความเชื่อมั่นและมีประสบการณ์ที่ไม่ดีต่อการเรียน

 

- ต้องกระตุ้นผู้เรียน เช่นสอนเรื่อง Sepsis ต้องอธิบายว่ามีคนเสียชีวิตเพราะ Sepsis ทุก 3 วินาที

 

จะทําให้ผู้เรียนเห็นความสําคัญมากยิ่งขึ้น

 

- สถานการณ์ต้องให้ตรงกับความเป็นจริง ภาพที่ใช้ประกอบต้องสอดคล้อง เช่น เสมหะ

 

สีของเสมหะต้องสอดคล้องกับโรคที่เป็นอยู่

 

- หุ่นต้องมีการแต่งตัว เช่น ใส่หมวกกันน๊อคในสถานการณ์อุบัติเหตุต้องมีการถอดหมวกกันน๊อค

 

การสรุปบทเรียนที่ผ่านมาแล้วนําไปสอนผู้เรียน โดยได้แจ้งข้อมูลให้ผู้เรียนว่า

 

กําลังจะนําเข้าสู่การเรียนการสอนวิชาอะไร บอกวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนกับผู้เรียน

 

แล้วทําไมถึงต้องจัดการเรียนการสอนโดยใช้ simulation สิ่งที่จะได้รับจากการนํา SimMan Senario มาใช้

 

1. ความปลอดภัย ของผู้ป่วย และตัวผู้เรียน

 

2. ประสบการณ์ของผู้เรียนที่ได้รับจากสถานการณ์

 

ทําให้ผู้เรียนสามารถดูแลให้การช่วยเหลือผู้ป่วยได้ดีขึ้น ให้การช่วยเหลือพยาบาลได้อย่างถูกต้อง

 

3. ผู้เรียนมีทักษะ ความชํานาญในการดูแลให้การช่วยเหลือผู้ป่วยได้ดี

 

4. มีประโยชน์ทั้งผู้เรียนและผู้ป่วย นอกจากนี้ ในการดูแลผู้ป่วยภาวะฉุกเฉิน

 

เป็นการฝึกให้ผู้เรียนในการตัดสินใจการให้การช่วยเหลือผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะวิกฤตรวมถึงการทํางานเป็

 

๑๕. SimMan Senario มีความสําคัญอย่างไร?มีการเปิด VDO จําลองการเกิดเหตุการณ์ขึ้นกับสายการบิน โดยให้ศึกษาวิธีการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในภาวะวิกฤต การสื่อสารข้อมูลระหว่างนักบินกับหอบังคับการบิน นักบินได้แจ้งเครื่องลงจอดแต่มีปัญหาเนื่องจากมีฝูงนกบินรบกวนจํานวนมาก ทําให้ไม่สามารถนําเครื่องลงจอดสนามบินได้ จึงได้นําเครื่องบินบินรอบสนามบินหลายรอบจนเครื่องบินน้ํามันหมด แต่ก็ไม่สามารถลงจอดได้ประกอบกับสนามบินไม่มี runway ว่างให้เครื่องลงจอดได้

ซึ่งนักบินได้มีการสื่อสารอย่างมีสติไม่ตื่นตระหนก และลดความตึงเครียดจึงได้ตัดสินใจนําเครื่องลงจอดแม่น้ํา

Hudson river จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ผู้สอน ชี้ประเด็นให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เกี่ยวกับการสื่อสาร การตัดสินใจ การควบคุมสติ เวลาเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินขึ้นบอกให้เห็นว่าประโยชน์ของการนํา SimMan Senario มาใช้มีอะไรบ้าง? มีการศึกษาวิจัย Pilot study พบว่า นักศึกษา 12 คน ส่วนใหญ่บอกว่า เขามีอาการตื่นเต้นในระยะแรกแต่หลังจากนั้นก็สามารถนําความรู้ที่ได้เรียนมามาใช้ได้

 

และทุกคนเห็นตรงกันว่าทําให้เขามีทักษะ สามารถรู้ได้ว่าผู้ป่วยมีอาการเปลี่ยนแปลงแย่ลง หรืออาการเลวลงจากเดิมได้ และทุกคนใน Pilot study มีความมั่นใจมากขึ้น และได้มีการยกตัวอย่างคําพูดของนักศึกษาว่า “ มีความมั่นใจเมื่อเกิดสถานการณ์ในห้องฉุกเฉิน และมีความมั่นใจที่จะเรียนรู้ต่อไปในอนาคต ในวิชาที่มีความซับซ้อนหรือวิชาที่มีความยากมากขึ้นกว่าเดิม การบอกวัตถุประสงค์ของผู้สอนที่จะทําการสอน SimMan Senario ต้องชัดเจน เช่น ถ้าต้องการให้ผู้เรียนตระหนักหรือสามารถประเมินอาการผู้ป่วยได้ว่ามีอาการแย่ลงจากเดิม ผู้เรียนสามารถประเมินผู้ป่วยได้ถูกต้องโดยประเมินจาก ABCD สามารถรายงานข้อมูลและการส่งต่อผู้ป่วยใช้หลัก SBARการทํา SimMan Scenario อาจได้มาจากจากนั้นอาจารย์ได้ให้สมาชิกในชั้นเรียนแบ่งกลุ่มออกเป็น 4 กลุ่ม โดยแต่ละกลุ่มได้มีการใช้กระบวนการทั้งหมดที่ได้เรียนมา มาจําลองใช้กับหุ่นในห้องปฏิบัติ

 

ตั้งแต่การวางแผนร่วมกันกับสมาชิกในทีม โดยอาจารย์ได้กําหนดสถานการณ์มาให้ทํา ทีมได้มีการวางแผนตั้ง กําหนดบทบาทหน้าที่ ใครจะทําหน้าที่อะไร เช่น ผู้เรียน ครูผู้สอน Facilitator ผู้บันทึกข้อมูล

 

มีการ Pre-Brief และจะต้องแจ้งผู้เรียนทุกครั้งว่าจะมีการ Debrief ด้วย ในการ Debrief จะมี 3 Phase

 

1. ให้นักศึกษาบอกความรู้สึกของตนเอง

 

2. ชื่นชมให้กําลังใจแก่ผู้เรียนในสิ่งที่ทําได้ดีขึ้นก่อน

 

จากนั้นถ้าพบว่าผู้เรียนทําไม่ถูกต้องก็สามารถบอกให้ข้อแนะนํา ชี้ข้อบกพร่องให้แก่ผู้เรียนได้

 

ทําให้ผู้เรียนสามารถเกิดการเรียนในขณะนั้นได้เลย ไม่ต้องรอสรุปสุดท้าย ผู้สอนก็สามารถทําได้

 

3. การเคารพความคิดเห็นการปฏิบัติของเพื่อนร่วมทีมทุกคน

เพราะถ้าสมาชิกทุกคนในทีมทําให้เสมือนจริง และมีความเชื่อเดียวกันว่าจะทําให้เสมือนจริงมากที่สุด

ผู้สอนต้องตระหนักถึงความสําคัญ แม้นว่าบางครั้งอาจมีการกระทําอะไรไม่ถูกต้อง จากนั้นได้มีการทดลองให้แต่ละกลุ่มแยกย้ายฝึกปฏิบัติกับอาจารย์ผู้สอนแต่ละกลุ่มก็ได้มีการทําตามขั้นตอนตามที่ได้เรียนมาตามบทบาทที่ได้วางแผนกําหนดร่วมกับทีมตั้งแต่เริ่มต้นหลังจากนั้น อาจารย์ได้ให้สถานการณ์จําลองของผู้ป่วยมา โดยให้ครูผู้สอนได้ให้ข้อมูลสถานการณ์กับผู้เรียน ผู้เรียนได้รับข้อมูลก็เริ่มแสดงตามบทบาท และให้การช่วยเหลือผู้ป่วย การสังเกตอาการผู้ป่วยที่แย่ลงจากเดิม การให้การช่วยเหลือร่วมกับทีมโดยมีการแบ่งหน้าที่ มีหัวหน้าทีม Facilitator, Observer, เสมือนกับได้ดูแลผู้ป่วยบนหอผู้ป่วยจริงๆ ตั้งแต่พบผู้ป่วยของผู้เรียนครั้งแรก จนถึงการดูแลการให้การช่วยเหลือ การนึกถึงโรคที่อาจคลาดเคลื่อน ผู้สอนอาจจะ Time out และชี้แนะ ให้ผู้เรียนกลับมาจากการคาดการณ์ที่อาจเข้าใจผิด (อาการแสดงของผู้ป่วยที่พบกับสิ่งที่ส่งตรวจต้องสัมพันธ์กันกับความน่าจะเป็นของโรค) ให้นึกถึงความน่าจะเป็นโรคของผู้ป่วยมากที่สุด ถ้าผู้เรียนสามารถเข้าใจถูกทางแล้ว ก็ให้ดําเนินการต่อจนสิ้นสุด หลังจากนั้นผู้สอนได้มีการ Debrief ให้กับผู้เรียน และให้ผู้เรียนแสดงความรู้สึกจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น การเรียนรู้ที่ได้รับ การแสดงความคิดเห็น เป็นต้น และผู้สังเกตการณ์ได้ให้ข้อมูลสะท้อนกลับต่อการช่วยเหลือผู้ป่วยกับสถานการณ์จําลองที่ให้มา รวมถึง หลังจากนั้นอาจารย์ผู้สอนได้มีการสรุปภาพรวมของแต่ละกลุ่มทั้ง 4 กลุ่ม ได้ชี้แนะ ให้กําลังใจ ชื่นชมแต่ละกลุ่ม และได้เพิ่มเติมบทบาทที่ดีของครู ต้องมีความชัดเจน ระหว่างห้องฝึกปฏิบัติกับห้อง Control การประเมินผู้ป่วย ABCD การตรวจร่างกายตั้งแต่ Head to toe ขึ้นอยู่กับสถานการณ์แต่ละสถานการณ์ ครูผู้สอน 2 คนต้องรู้ข้อมูลเหมือนกันว่าจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงอาการของผู้ป่วยในสถานการณ์ตอนไหน ครูผู้สอนต้องสามารถควบคุมสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ดี ให้มีการดําเนินการไปอย่างราบรื่น ให้การฝึกปฏิบัติเป็นไปตามแผนที่วางไว้ ควรกระตุ้นให้ผู้เรียนอยากที่จะเรียนรู้ และไม่ควรยากหรือง่ายเกินไป

 

การวางแผนในการนํา Simulation ไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนหลังจากที่ได้เรียนฝึกอบรมในครั้งนี้

 

1. ท่านจะนําความรู้อะไรที่ได้รับในครั้งนี้ไปใช้ในการเรียนการสอนวิชาอะไรกับนักศึกษาชั้นปีไหน?

 

2. ท่านจะสอนอะไรบ้างและทักษะที่สําคัญจะนํามาใช้กับ Simulation ?

 

3. ต้องการอุปกรณ์ เครื่องมืออะไรบ้าง ในการฝึก Simulation ?

 

4. ต้องการ Staff ที่จะมาช่วยในการฝึกปฏิบัติให้กับผู้เรียน จํานวนมากน้อยแค่ไหน?

 

5. มีการประเมินนักศึกษาจากการฝึกอย่างไร?

 

จากนั้นแต่ละคนก็ฝึกทําแบบฝึกหัดตามที่อาจารย์มอบหมายให้ฝึกทํา อาจารย์คอยเข้าดูแลช่วยเหลือว่าสามารถเข้าใจในสิ่งที่มอบหมายงานให้ทํา ผู้เข้ารับการอบรมส่วนใหญ่ทุกสามารถทําได้ดี อาจารย์ก็ได้ชื่นชมและเพิ่มเติมในส่วนที่ขาดให้กับผู้เข้ารับการอบรม

 

ช่วงสุดท้ายของการสิ้นสุดของการอบรมในวันนี้และครั้งนี้ Dr. Jhon และคณะ ได้ให้ผู้เข้ารับการอบรมเขียนสิ่งที่ได้รับตลอดระยะการอบรม 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา แสดงความคิดเห็น

 

ข้อเสนอแนะ ความรู้สึกต่อการอบรมในครั้งนี้ เพื่อที่จะนําไปปรับปรุงในการเรียนการสอนในรุ่นที่ 2 ต่อไป อาจารย์กล่าวแสดงความรู้สึกตลอดระยะเวลาที่เตรียมการและการสอนที่ผ่านมาแม้นว่าจะเหนื่อยมากแต่ก็มีพลังที่จะสามารถฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆไปได้และมีความสุขมากที่ได้สอนกับผู้เข้ารับการอบรม ตัวแทนของผู้เรียนก็ได้กล่าวขอบคุณอาจารย์ทุกท่านที่ให้ความรู้ ชี้แนะต่างๆให้กับผู้เข้ารับการอบรม ทําให้ทุกคนมีความสุขตลอดการฝึกอบรมที่ผ่านมา และทุกคนได้เขียนความรู้สึกลงในกระดาษใหอาจารย์

 

ความรู้ที่สามารถนํามาประยุกต์ใช้กับการปฏิบัติงาน:

 

นําความรู้เรื่องการจัดการเรียนการสอนโดยใช้การจําลองสถานการณ์ (Simulation)

 

มาจัดการเรียนการสอนแก่นักศึกษาชั้นปีที่ ๓ ในรายวิชาการพยาบาลบุคคลที่มีปัญหาสุขภาพ ๒,๓

 

แบบฟอร์มสำหรับส่งบทความเข้าคลังความรู้

 

ผู้บันทึก : นางวันดี แก้วแสงอ่อน และ นางนิสากร จันทวี

 

กลุ่มงาน : ห้องสมุดและห้องปฏิบัติการ

 

ประเภทการปฏิบัติงาน: อบรมระยะสั้นต่างประเทศ

 

วันที่จัด: วันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๕๗ ถึงวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๕๗

 

หน่วยงาน/สถาบันที่จัด : สถาบันพระบรมราชชนก สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข

 

สถานที่จัด : ณ NortumbriaUniversity สหราชอาณาจักร

 

เรื่อง :การพัฒนาอาจารย์ด้านการจัดการเรียนการสอน : Clinical Simulation

 

รายละเอียด

๑. การจําลองสถานการณ์ (Simulation) มีหลายรูปแบบ ดังนี้

๑.๑ การเรียนจากบทเรียนที่ใช้ปัญหาเป็นหลัก (Paper based scenario) :

 

เป็นการเรียนโดยการประยุกต์การเรียนโดยใช้บทเรียนที่มีปัญหาเป็นหลัก (ใน ๑ กลุ่มจะมีผู้สอนประมาณ ๒ คน ในการสอนกลุ่มนักศึกษา ๖ คน ของทีมมหาวิทยาลัย Nortumbria)ปัญหาที่พบ : ผู้เรียนไม่ได้สนใจปัญหาที่เกิดขึ้นจริง จะมุ่งแก้ปัญหาตามบทเรียนที่มีให้

 

๑.๒ การแสดงบทบาทสมมติ (Role play) : การสอนด้วยบทบาทสมมติเหมือนสถานการณ์จริง จะประกอบด้วยการที่กลุ่มนักศึกษาเขียนบทการแสดงและมอบหมายบทบาทหน้าที่ของแต่ละคน เช่น

พยาบาล ผู้ป่วย และผู้เรียน ๒ ใน ๓ เป็นผู้สังเกตพฤติกรรม ผู้สอนต้องควบคุมห้องเรียนโดยให้ผู้เรียนทุกคนสนใจในบทบาทที่เพื่อนแสดง การสอนแบบนี้เหมาะกับการสอนเทคนิคการสื่อสาร หรือสอนผู้ป่วยก่อน กลับบ้าน

 

๑.๓ Single task trainer : เป็นการฝึกทีละวิธีการ

เป็นการสอนที่ผู้สอนจะต้องปูพื้นฐานให้ผู้เรียนมีความรู้ครบถ้วนในกิจกรรมเฉพาะและมีการสาธิตและสาธิตย้อนกลับโดยการฝึกทีละวิธีการหรือกิจกรรม เช่น การใส่สายสวนปัสสาวะ ผู้สอนจะสอนถึงอุปกรณ์ที่ใช้ การทํา ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น มีการสาธิตให้ดูและให้ผู้เรียนปฏิบัติเพียงทีละ ๑

 

 

 

๑.๔ Desk/Table top exercise : การประชุมหารือเชิงปฏิบัติการ

เป็นการที่ผู้เรียนได้ฝึกการแก้ปัญหาสถานการณ์ที่สําคัญของหน่วยงานหรือประเทศที่มีการสูญเสียทางเศรษฐกิจจะส่งผลต่ออัตราการเสียชีวิตเช่น การระบาดของไข้หวัดนก ภัยพิบัติ และการฝึกการเป็นผู้นํา

 

๑.๕ Manniequin based (หุ่นมนุษย์จําลอง) :

เป็นการสอนที่ผู้สอนให้ผู้เรียนได้ฝึกในสถานการณ์ต่างกับหุ่นจําลองที่ผู้สอนได้จําลองสถานการณ์คล้ายกับผู้ป่วยจริง เช่น การสอนในการดูแลผู้ป่วย Asthma attack ผู้เรียนได้ฟังเสียงการหายใจแบบ Wheezing จากปอด ได้ฝึกการให้ออกซิเจน และการให้ยาในผู้ป่วย

 

๑.๖ Manniequin total immession (หุ่นมนุษย์จําลองแบบครบในทางการแพทย์) :

 

เป็นการสอนที่ผู้สอนสามารถให้ผู้เรียนได้เรียนรู้การแสดงอาการของผู้ป่วยในหลายระบบพร้อมๆกัน เช่น การสอนในการดูแลผู้ป่วย Shock หรือ Cardiac arrest

 

๑.๗ Environment : เป็นการสอนที่จัดสิ่งแวดล้อมให้เสมือนจริง เช่น

เป็นการสอนที่มีการจําลองคล้ายกันในหอผู้ป่วย ผู้ป่วยรวมหลายเชื้อชาติ หลายโรค ให้ผู้เรียนฝึกการดูแล

๑.๘ Virtual reality : ระบบเสมือนจริง เป็นการสอนที่ใช้ประโยชน์จาการสร้างสื่อผสม

ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเองหรือเป็นกลุ่มได้ โดยนําเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ สามารถเคลื่อนย้าย

โต้ตอบในสิ่งแวดล้อม มีที่แสดงหรือดูในรายละเอียดได้เช่น การสอนในวิชา Anatomy ที่มหาวิทยาลัย

Northumbria จะมีการควบคุมระบบโดยใช้ SMOTS โดยใช้กล้องหลายๆตัวในแต่ละห้อง มีทั้งห้อง ICU เด็ก

 

๒. หลักสูตรการเรียนการสอน NortumbriaUniversity

ประยุกต์แนวคิดการฝึกทักษะ (Skills Acquisitions) จากหลักสูตรของประเทศสหรัฐอเมริกา

 

Does

ลงมือปฏิบัติ

 

Show How

 

เรียนรู้สถานการณ์เสมือนจริง

 

Know How

 

จาการกระทํา กรณีศึกษา สัมมนา

 

D Knows

 

Mixed modality ใช้วิธีแบบผสมผสานในแต่ละเรื่อง โดยเริ่มจากการบรรยาย เช่น เรื่อง Shock

 

โดยการสัมมนาเรื่อง Shock ก่อนการทดลองกับผู้ป่วยจนไปปฏิบัติจริง

 

๓. หลักสูตรการสอนที่เกี่ยวข้องกับ Simulation

 

นักศึกษาพยาบาล ปี ๑ จะเป็นการฝึกทักษะพื้นฐานทางการพยาบาล

 

กรณีถ้าใช้อุปกรณ์เฉพาะพัฒนาทักษะทางการพยาบาล (Focus on skill development) โดยวิธีการสาธิต

 

(Demonstration) ผู้สอนต้องดูแลอย่างใกล้ชิด (Support complete) เช่น การสอนแบบบรรยาย การสาธิต นักศึกษาพยาบาล ปี ๒ ใช้การสอนแบบ Coached Simulated Scenario ผู้สอนจะเป็นแนะนําวิธีการ เป็นผู้คอยชี้แนะในกาศึกษาหุ่น เช่น สถานการณ์ผู้ป่วย เจ็บหน้าอก ช็อค หรือ การฟื้นคืนชีพ ผู้สอนจะเป็นพี้เลี้ยงหรือผู้ชี้แนวทาง (Guide/Mentor)นักศึกษาพยาบาล ปี ๓ ผู้เรียนต้องใช้ประสบการณ์ที่ได้เรียนมาทํางานเป็นทีม บริหารจัดการหอผู้ป่วยได้ เช่น ใช้ข้อมูลจากการซักประวัติ การตรวจร่างกาย มากอบกับผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการและผลตรวจพิเศษ ผู้สอนทําหน้าที่ Facilitator/Role player

 

๔. การสอนโดยใช้สถานการณ์เสมือนจริง (Simulation delivery )

 

๒๐ นาที ๒๐ นาที ๓๐ นาที

 

Scenarioการปฏิบัติตามที่มีในสถานการณ์การสรุปบทเรียนใช้เวลา ๕ นาทีเรียนรู้ทําไม จําเป็นอย่างไรแนะนําเข้าสู่ Simulation Related to real ward experience เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ซึ่งการเล่าหรือการแลกเปลี่ยนประสบการณ์จริงที่พบในผู้ป่วย กับผู้เรียนมีความสําคัญมากการสอนสถานการณ์จําลองเสมือนจริงที่ NortumbriaUniversity จะเน้นไปใน ๓ กิจกรรม ได้แก่

โดยแบ่งนักศึกษาออกเป็น ๔ กลุ่ม กลุ่มละ ๖ – ๗ คน (กรณีที่มี ๒๕ คน) ใช้เวลาประมาณ ๓ ชม. โดยมีการหมุนเวียนกันในกลุ่ม และแต่ละกลุ่มทํา Simulation ๒ สถานการณ์ และแบ่งผู้ Observe ๒

กลุ่มสลับกัน ผู้ Observe จะเป็นผู้ปฏิบัติในสถานการณ์นั้นด้วย เช่น Shock และ Asthma attackทฤษฎีที่ใช้ประกอบการเรียนการสอน คือ ทฤษฎีการเรียนรู้ที่จะค่อยๆเสริมความรู้ใหม่ที่ละน้อย

เพื่อให้ผู้เรียนมีความมั่นใจในการทํา เสริมความรู้ และทําให้เกิดความมั่นใจ ขั้นตอน Debrief แบ่งออกเป็น ๓ ระยะ ดังนี้

ระยะที่ ๑ Descriptive Phase (การบรรยาย) : เป็นการถามถึงความรู้สึกของผู้เรียน

 

ระยะที่ ๒ Analysis Phase (การวิเคราะห์) : ครูสะท้องผู้เรียนในสิ่งที่ผู้เรียนทําได้ดี

 

ระยะที่ ๓ Application Phase (การนําไปประยุกต์ใช้) : จะนําไปใช้จริงอย่างไร ให้ทําจนผู้เรียนเกิดความมั่นใจที่จะสามารถนําไปปฏิบัติได้หลักการในการทํา Debrief โดยใช้หลัก ๖PA (Performance Agreement)

Immediate Phase ขั้นตอนการประเมินและระบุปัญหาที่พบ

 

Planning Phase การวางแผนว่า ใครควรทําอะไร ตามบทบาทหน้าที่อะไร

 

Assessment Phase การประเมินสภาพ และการระบุปัญหา

 

Action Phase การลงมือปฏิบัติ เช่น การให้เลือด ให้ยา ฯลฯ

 

Maintenance Phase ดูผลการประเมิน เช่น การให้สารน้ําทางหลอดเลือดดํา

 

Deterioration Phase วิเคราะห์ประเมินคุณภาพ การออกซิเจน ถ้าผลการประเมินดีให้คงสภาพดังกล่าวไว้หรืออาจมีการปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสมหากไม่ได้ผลเป็นไปตามที่กําหนดไว้ให้กลับไปประเมินขั้นต้นใหม่ในขั้น Debrief ผู้สอนจะสะท้อนหรือประเมินในวันที่ผู้เรียนทําได้ดีก่อน เพื่อให้ผู้เรียนเกิดความมั่นใจ เช่น มีการดูแลแบบเอื้ออาทร เข้าไปซักถามความรู้สึกของผู้ป่วย จับมือหรือสัมผัสตัวผู้ป่วยไว้ เป็นต้น แล้วถึงประเมินจุดที่บกพร่อง บอกเหตุผล และบอกแนวทางการแก้ไข

๕.Recognition Rescue (คุณค่าและความสําคัญของการช่วยเหลือให้รอดชีวิต)

Failure to rescue : ความล้มเหลวในการช่วยเหลือผู้ป่วยให้รอดชีวิตยังมีความสําคัญมาก ซึ่งการช่วยเหลือมีการดูแลอยู่ ๒ แบบ คือ

 

- Technical : มีเทคนิคหรืออุปกรณ์ช่วย เช่น การประเมินโดยใช้แบบวัด

- Non Technical : การไม่ใช้อุปกรณ์ หรือเทคนิคเฉพาะทางการแพทย์ เช่น การพูดคุยกับผู้ป่วย การทํางานเป็นทีม การตระหนักถึงความสําคัญ การรับรู้สิ่งที่อยู่รอบตัวที่ประเทศอังกฤษ มีหน่วยงานที่ดูแลเฉพาะ คือ NPSA (National Patient Save Agency) มีการประเมินโดยใช้แบบประเมิน Early Warning Score (EWS) เป็นการประเมินใช้ ๖ ตัวชี้วัด ดังนี้

Respiratory Rate การวัดอัตราการหายใจ

saturation เป็นตัวชี้วัดสําคัญเป็นตัวที่ประเมินปัญหาในระบบทางเดินหายใจ

Temperature อุณหภูมิกาย

Systolic Blood Pressure ความดันโลหิตขณะหัวใจบีบตัว

Heart Rate อัตราการเต้นของหัวใจ หรือชีพจร

Level of Conscious ประเมินตาม AVPU (Alert, Response to voice, Response to Pain, Unresponsive)NPSA มีเกณฑ์ในการแบ่งคะแนน ดังนี้

คะแนน ๓ ๒ ๑ ๐ ๑ ๒ ๓RR ๑๒-๒๐

แต่ในการประเมินก็ต้องขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของพยาบาลด้วย เช่น ถ้าเป็นนักกีฬาหรือผู้ป่วยที่มีปัยหาโรคปอดเรื้อรัง จะมี HR ที่ต่ํา เป็นต้นในผู้ป่วยเด็กมีแบบประเมินเฉพาะ คือ PEWS for Children เพราะเด็กจะเกิด Respiratory failure

Child Arrest

Loss fluid Fluid maldistribution Respiratory distress Respiratory

Circulatory failure Respiratory failure

Cardiac arrest

การใช้ PEWS chart จะใช้เฉพาะเด็กที่อายุน้อยกว่า ๑๗ ปี โดยแบ่งช่วงอายุเป็น ๑ -๔ ปี, ๕ – ๗ ปี และ ๘ – ๑๖ ปี เพราะค่าที่ประเมินได้จะมีความแตกต่างกัน

 

๖.Simulation technology ประกอบด้วย

 

1. SMOT โดยการสังเกตผ่านวีดีโอ เพื่อดูพฤติกรรมของผู้เรียนว่าสามารถทําได้ดีหรือต้องมีข้อแก้ไข

 

โดยจะมีกลุ่มที่สังเกตพฤติกรรมและให้การสะท้อนพฤติกรรมกลุ่มที่อยู่ใน Simulation room

 

1. Safety เพื่อให้เกิดความปลอดภัยกับผู้ป่วย ก่อนที่จะปฎิบัติจริงต้องฝึกฝนจนผู้เรียนเกิดความมั่นใจ

 

การทํากับหุ่นสามารถทําซ้ําและหยุดได้เป็นช่วงๆ และยังช่วยฝึกการปรับตัวก่อนเผชิญกับสถานการณ์จริง ในเรื่องของความตรึงเครียด และกดดัน เป็นต้น

 

2. Experience เป็นการเพิ่มทักษะให้กับผู้เรียน เพื่อไม่ให้เกิดความกลัว

ความตื่นตระหนก ร้องไห้ และความเครียด เช่น การฝึกของนักบิน ก่อนการบิน เพื่อให้เกิดทักษะ และสามารถเผชิญกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้

 

3. Practice การฝึกต้องใส่เครื่องแบบเพื่อแสดงความเป็นเป็นวิชาชีพ

และเพื่อให้ผู้เรียนมีการเตือนตัวเองว่าจะทําอะไรต้องคํานึงถึงวิชาชีพ และให้ผู้เรียนดึงความรู้ที่เรียนออกมาใช้

4. Benefits การฝึกทํากับหุ่นสามารถหยุดและให้ข้อเสนอแนะ และเริ่มทําซ้ําใหม่ได้ อันจะทําให้เกิดประโยชน์ในการเรียนรู้ของผู้เรียนความคาดหวังจากการใช้หุ่น (Expectation simulation) มีเป้าหมายดังนี้

 

1. ให้ผู้เรียนตระหนักรู้ถึงอาการแสดงที่เปลี่ยนไปของผู้ป่วยในทางที่แย่ลง

 

2. การประเมินสภาพโดยใช้ A=Airway B= Breathing C=Circulation D= Disability E=

 

Exposure เป็นกรอบแนวคิดในการประเมิน

 

3. การรายงานผลและส่งต่อ โดยใช้เครื่องมือ SBAR (SBAR Tool)

 

Simulation ต้องประกอบด้วย การ Lecture, Practicals, Seminar และ Practice placement

 

(การทดสอบการปฏิบัติ) ที่จะทําให้การเรียนด้วย Simulation มีความสมบูรณ์

 

ขั้นตอนการเรียน Simulation ต้องประกอบด้วย

 

a. การแบ่งผู้เรียนออกเป็น 4 กลุ่ม

 

b. ให้เวลากลุ่มสังเกตการณ์ศึกษาสถานการณ์ และศึกษาบทบาทการทํางานที่กําหนด

 

และการแสดงบทบาทของเพื่อนที่อยู่ใน simulation room

 

โดยใช้การอภิปรายจากการบันทึกพฤติกรรมจากกลุ่มที่สังเกตการณ์ได้

 

c. ครูจะเข้ามาพบผู้เรียนในห้องสังเกตการณ์ ภายหลังจากจบกลุ่ม scenario

 

d. กลุ่มที่อยู่ในห้องสังเกตการณ์จะให้ข้อมูลย้อนกลับ และประเมินผลในตอนท้าย

 

ผู้อํานวยความสะดวก (facilitator) – ผู้ให้คําปรึกษา (mentor)

 

ผู้เรียน (student) – นักศึกษาพยาบาล (a student nurse)

 

-ห้องสังเกตการณ์ (Observation room)

 

เครื่องวัดความดันโลหิต ออกซิเจน โทรศัพท์

 

การ De-briefing โดยใช้โมเดลของ Steinwachs (1992) แบ่ง 3 ระยะ คือ

 

๑. Descriptive phase ให้ผู้เรียนบอกความรู้สึกว่ารู้สึกอย่างไรกับสถานการณ์

 

๒. Analysis phase ผู้สอนจะเป็นผู้บอกข้อดี และข้อบกพร่อง

 

โดยต้องไม่ให้ผู้เรียนรู้สึกผิดและใช้การเสริมแรงทางบวก เพื่อให้ผู้เรียนเกิดกําลังใจ

 

๓. Application phase การนําไปใช้ในสถานการณ์จริง โดยต้องเน้นย้ําให้ผู้เรียนตระหนักถึงคุณธรรม

 

จริยธรรม (etiquette) ในการปฏิบัติกับหุ่น โดยคํานึงถึง

 

- การเคารพ (Respectful) ในการปฏิบัติกับหุ่นให้เสมือนกับการปฏิบัติผู้ป่วยจริง

 

- การทํางานเป็นทีม ต้องพยายามดึงผู้เรียนที่ไม่กล้าแสดงออกให้เข้ามา

 

ส่วนผู้เรียนที่คอยชี้นํากลุ่มให้ดึงออกไปจากกลุ่ม

 

1. แบ่งกลุ่มผู้เรียนออกเป็น 4 กลุ่ม โดยกลุ่มสังเกตการณ 6 คน และกลุ่ม scenario 6 คน

 

2. Pre-debrief โดยผู้สอนจะบอกถึงวัตถุประสงค์ของการเรียนการสอน อุปกรณ์

 

และข้อมูลผู้ป่วย ซึ่งผู้ป่วยที่ได้รับมีข้อมูลดังนี้

 

กรณีศึกษา ผู้ป่วยอายุ 61 ปี มีประวัติเป็นมะเร็งลําไส้ หลังผ่าตัดมะเร็งลําไส้ on radivac drain

 

discharge ออก 200 cc แรกรับมีอาการเหนื่อย on oxygen 2 L/min retained foley’s catheter urine

 

1. ครูบอกวิธีการปฏิบัติ โดยเน้นย้ําให้ผู้เรียนนําความรู้มาใช้

 

2. ผู้เรียนในกลุ่ม Simulation จะต้องประเมินผู้ป่วยโดยใช้หลัก ABCDE โดยใช้ความรู้

 

ประสบการณ์ และรายงานผลโดยใช้ SBAR TOOL

 

3. ขณะที่อยู่ในสถานการณ์ผู้สอนควรสังเกตผู้เรียน

 

หากพบผู้เรียนปฏิบัติไม่ถูกต้องหรือไม่ปฏิบัติในเวลาที่กําหนด ผู้สอนจะหยุด และถามคําถาม

 

ยกตัวอย่างเช่น ทําไมถึงเปลี่ยนการให้ Oxygen cannula เป็น Oxygen mark

 

หากผู้เรียนไม่สามารถบอกได้ ผู้สอนต้องเสริมความรู้ให้กับผู้เรียน หรือให้ไปหาความรู้มาตอบ

 

และที่สําคัญควรไม่ให้ผู้เรียนรู้สึกผิด และหากสถานการณ์นั้นมีการตามแพทย์แล้วแพทย์ไม่มา

 

พยาบาลควรใช้คําถามที่ชี้นําหรือให้ข้อเสนอแนะในการแก้ปัญหา (Proactive)

 

ร่วมกัน โดยครูถามว่ารู้สึกอย่างไรกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ตามหลัก de- brief ดังอธิบายข้างต้น

 

4. กลุ่มสังเกตการณ์ (observe) ให้สังเกตพฤติกรรมและจดบันทึก และมา de- brief

 

๘. Pre-Brief from idea to reality

 

1. เพื่อทบทวน หาข้อสรุปในประเด็นการทํา Pre-brief โดยต้องชัดเจนเรื่องวัตถุประสงค์,

 

2. ทบทวนเนื้อหาและประเด็นโครงสร้าง (องค์ประกอบของการทํา Pre-brief

 

3. ทบทวนกระบวนการทํา Pre-brief

 

4. การเตรียมร่างกายของการทํา Pre-brief เครื่องมือ อุปกรณ์

 

ความคาดหวังของผู้สอนและบทบาทของผู้เรียน

 

2. ความคาดหวังของนักศึกษา

 

3. บทบาทของผู้เรียน ทําให้เป็นคล้ายพยาบาลวิชาชีพ

 

5. เน้นเคารพครู เพื่อนร่วมทีม เปิดใจรับฟัง มีความซื่อสัตย์ ยอมรับข้อบกพร่องของตนเอง

 

เพื่อปรับปรุงแก้ไขโดยอาศัยแหล่งข้อมูล Technology เช่น มาตรฐานต่างๆ ของ INACSL

 

- International Nursing Association for Clinical Simulation and Learning

 

- Professional Standards & Guideline (NMC, 2011) Simulation Learning

 

การวางแผน : สิ่งที่ควรคํานึงก่อนทําการสอน

 

1. Participant ผู้เรียนก่อนสอนต้องรู้ เขาเป็นใคร ทําอย่างไร ระดับชั้นปีอะไร

 

2. สิ่งแวดล้อม เวลาในช่วงไหนที่จะทํา, Ward , ICU , ER

 

3. อุปกรณ์ เครื่องมือ ตามประเภทของ Simulation ให้เพียงพอ

 

มีประสบการณ์การเรียนรู้อย่างไร เพื่อเลือกวิธีการจัดการเรียนการสอนโดย Simulation

 

1. ในแต่ละกลุ่มควรจะวางแผนขั้นการทํา Pre-brief

 

2. คํานึงถึงความเป็นวิชาชีพและประสบการณ์ที่ควรได้รับ

 

3. ควรจะทําว่า เขาเป็นใครและเป็นอย่างไร

 

4. Who : นักศึกษาเป็นใคร ชั้นปีอะไร มีความรู้ ประสบการณ์ , Learning style

 

5. How : จะสอนนักเรียนด้วยวิธีการอย่างไร

 

Standard of Best Practice Simulation ให้ Search จากทาง Internet เช่น Simulation

 

in Health โดยมาจากหนังสือ โดยเฉพาะ ทางโรงพยาบาลของ UK มีการใช้ Simulation

 

เพื่อใช้ทดสอบพยาบาล ก่อนที่จะรับเข้าทํางานโดยมี Standard ของโรงพยาบาล

 

๙. Designing and Writing Scenario

 

การออกแบบและการเขียน Scenario หลักการสําคัญต้องประกอบไปด้วย

 

๑. วัตถุประสงค์ ท่านคาดหวังว่าบทเรียนนี้จะให้ผู้เรียนได้รับความรู้เรื่องอะไร

 

ซึ่งต้องตั้งให้ชัดเจนว่าต้องการให้เกิดอะไร ระดับไหน

 

๒. ผลลัพธ์ของการเรียนรู้ ผู้เรียนจะต้องแสดงออกหรือมีความสามารถอะไรเมื่อสิ้นสุดในการเรียน

 

เช่น สามารถประเมินได้ สามารถแก้ไขปัญหาได้

 

3. ระดับความซับซ้อนของ Scenario ประกอบด้วย ๓ แบบ คือ

 

สถานการณ์ที่แสดงลักษณะการเปลี่ยนแปลงเพียงอย่างเดียวและมีการตอบสนอง

 

- ระดับง่าย (Simple) :

 

- ความยากง่ายระดับปานกลาง (Moderately difficult) :

 

แสดงลักษณะการเปลี่ยนแปลงในทางที่แย่ลงและมีอาการดีขึ้น

 

- ซับซ้อนมาก (Complex)

 

มีอาการเปลี่ยนแปลงเริ่มต้นและมีอาการเปลี่ยนแปลงที่ตอบสนองต่อการรักษา

 

๔. การวินิจฉัยโรคจากหุ่น อาจใช้ผล X-ray, scans, ผลการตรวจเลือด, ไฟล์ข้อมูล สื่อต่างๆ

 

เสียงต่างๆ, ผล EKG และสามารถใส่ไฟล์ข้อมูล X-ray, รูปภาพต่างๆ ที่แสดงอาการ เช่น อาการบวม,

 

neck vein engorment และผลเลือด

 

4. ต้องเลือกรูปแบบการ de-brief ให้เหมาะสม

 

- จะต้องมีข้อมูลที่เพียงพอ บอกสถานการณ์ผู้ป่วยให้นักศึกษารู้

 

- จัดบริบทของ Scenario ให้เหมาะสมและชัดเจน

 

- ให้นักศึกษารับรู้เวลาในการทํา Scenario เช่น เริ่มต้นสถานการณ์

 

อุปกรณ์และเครื่องมือจะต้องเตรียมให้เหมาะสมกับกิจกรรมที่นักศึกษาจะต้องปฏิบัติ

 

และส่งเสริมให้มีโอกาสในการตัดสินใจและเลือกใช้อุปกรณ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์

 

-บทบาทผู้เรียน ต้องกําหนดให้ชัดเจนว่านักศึกษาอยู่ในสถานการณ์นี้อยู่ในบทบาทอะไร เช่น

 

- บทบาท Facilitator เป็นผู้เอื้ออํานวยการในการให้นักศึกษาปฏิบัติในสถานการณ์

 

จะต้องดูแลและคอยสังเกตดูนักศึกษาถ้านักศึกษาทําไม่ได้ต้องให้การช่วยเหลือ

 

1. เขียน Scenario โดยมีแบบฟอร์มให้ดู โดยผู้ป่วยเป็นโรค COPD

 

2. กําหนดให้ผู้ป่วยมาด้วย chest infection and exacerbation และมีอาการแย่ลง

 

3. ให้เขียนข้อมูลตามหลักการ (ตามเอกสารแนบที่อาจารย์แจกให้ทํา)

 

1. สิ่งที่ต้องพิจารณาเสมอ เราจะนําเสนออะไร อย่างไร ในการ Pre-Brief

 

2. ควรมีโครงร่างอย่างชัดเจนในการ Pre-Brief

 

๑. การยกตัวอย่างของการ Pre-Brief

 

๒. นักศึกษาควรเริ่มต้นในชั้นปีที่ ๒

 

๓. สถานการณ์ต้องกระตุ้นให้ผู้เรียนจดจ่อและอยากจะช่วยเหลือ

 

แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานความรู้และประสบการณ์ของผู้เรียน

 

๑o. การวางแผนออกแบบการช่วยเหลือในการเรียนโดยใช้สถานการณ์จําลอง

 

จุดประสงค์การเรียน เพื่อหาวิธีในการวางแผนและออกแบบศูนย์การเรียนรู้โดยใช้สถานการณ์จําลอง

 

ผลลัพธ์การเรียนรู้เรื่องนี้ ผู้เรียนควรบอกได้ว่า

 

๑. ทําไมจึงมีความจําเป็นต้องใช้สถานการณ์จําลองและประโยชน์ที่ผู้เรียนจะได้จากการเรียนแบบนี้

 

๒. ใครจะเป็นผู้ชี้แจงและบอกจุดประสงค์ที่ผู้เรียนควรจะต้องเรียนรู้

 

๓. วางแผนว่าจะทําการเรียนรู้นี้ต้องใช้อุปกรณ์และจัดสถานที่ที่ไหนจึงจะเหมาะสมกับวิธีการสอนโดยใช้

 

๔. เมื่อไรจะเป็นเวลาที่เหมาะสมในการเรียนนี้

 

๕. ตัดสินใจ วางแผน วางกระบวนการเรียนรู้ด้วยวิธีนี้อย่างไร

 

สาเหตุที่การเรียนในสถานการณ์จําลองมีความจําเป็นสําหรับผู้เรียน เพราะ

 

๒. เพื่อให้ผู้เรียนเกิดความมั่นใจในตนเอง

 

๔. เพื่อให้ผู้เรียนสามารถสื่อสารกับทีมงานได้อย่างถูกต้อง เกิดความเข้าใจตรงกัน

 

จะเห็นได้จากความคิดเห็นจากบทความของบุคคล ดังต่อไปนี้

 

- Klipfel et al. (๒๐๑๔, p.๓๙) ได้กล่าวไว้ว่า

 

สถานการณ์จําลองทําให้บุคลากรทางสุขภาพมีความสามารถทางการสื่อสารและเกิดทักษะในการทํางานเป็นที

 

- Griswold et al. (๒๐๑๒)

 

กล่าวว่าการสอนโดยสถานการณ์จําลองมีหลักฐานเชิงประจักษ์ว่าเป็นการสอนที่ดีและเกิดความปลอด

 

ภัยต่อชีวิตผู้ป่วย การใช้หุ่นจําลองผู้ป่วยทําให้นักศึกษาเกิดความมั่นใจในตนเองและมีความรู้มากขึ้น

 

ทั้งตัวนักศึกษาเองและเพื่อนนักศึกษาที่อยู่ในทีมฝึกปฏิบัติงานในสถานการณ์จําลอง เพราะมีการฝึกปฏิบัติงาน การสะท้อนความคิดซึ่งทําให้การปฏิบัติงานดีขึ้นปัจจุบันประเทศที่ใช้การเรียนการสอนโดยใช้สถานการณ์จําลอง ได้แก่ แคนาดา, อเมริกา, ยุโรป, การจัดหลักสูตรสิ่งที่ต้องคํานึงถึงคือความเชื่อมโยงระหว่างกระบวนการสอน การประเมิน

กระบวนการสอน

 

หุ่น : หุ่นอะไร (SimMan , SimMom), ราคา , ระบบปฏิบัติการ

 

อุปกรณ์ในคลินิก : set IV fluid , สายออกซิเจน, monitor, Defibrillator, เครื่องวัดความดันโลหิต

 

อุปกรณ์อื่นๆ : เตียง, โต๊ะ, เก้าอี้ ผ้าม่าน, ผ้าปูที่นอน, ถุงมือ ฟอร์ม

 

อุปกรณ์ติดผนัง : อ่างล้างมือ, ชั้นวาวชงของ, วัสดุปูพื้น

 

อุปกรณ์อิเลคทรอนิค : คอมพิวเตอร์, โปรแกรม, กล้องวิดิโอ

 

เราจะจัดการเรียนการสอนด้วย simulation เช่น ฝึกพยาบาลที่ต้องการความเชี่ยวชาญพิเศษ

 

หรือก่อนปฏิบัติงานกับผู้ป่วยจริงเพื่อให้เกิดความมั่นใจ และความปลอดภัยกับผู้ป่วย

 

งบประมาณ เรามีงบประมาณในการบริหารจัดเท่าไร งบประมาณหลัก ได้จากภายในหรือภายนอก

วิธีการ ใช้การประมูลหรือการจัดซื้อคํานึงถึงการรักษาสภาพของอุปปกรณ์ หุ่นจะรักษาให้

ใช้ได้นานเพียงใด และการพัฒนาในอนาคตฝุ่นละอองอาจทําให้เกิดการชํารุด อุปกรณ์ชํารุดไม่พร้อมใช้งานจริง มีข้อจํากัดในเรื่องพื้นที่ เสียง ใครบ้างที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ Simulationการจัด Simulation เกิดจากการร่วมกันคิดว่าทําอย่างไรจึงมีความเป็นไปได้และเกิดประโยชน์

ใครเป็นทีมที่ร่วมสอน ใครเป็นผู้เรียน ต้องการแหล่งทรัพยากรใดบ้าง ทําที่ไหน ทําไมอังกฤษจึงมีนโยบายในการใช้สถานการณ์จําลองในการเรียนดูได้จากแผนภูมิการใช้เทคโนโลยีในการเรียนนี้

แผนภูมิ แสดงการใช้เทคโนโลยีในการเรียนที่เน้นการเรียนรู้โดยใช้สถานการณ์จําลอง

ผู้ป่วยเป็นศูนย์กลางการให้บริการผู้ป่วยปลอดภัยมากขึ้น เพิ่มประสบการณ์การเรียนรู้ของผู้เรียน

ผลลัพธ์การเรียนรู้มีคุณภาพสูงการเรียนรู้จากสถานการณ์จําลอง เป็นการเรียนรู้ที่ซับซ้อนหลากหลายเพราะการเรียนรู้จากสถานการณ์จําลอง เป็นการเรียนรู้จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงที่หลากหลาย สามารถกลับมาทําซ้ําได้ จากสภาพการเรียนรู้และจากปัญหาที่เกิดขึ้นในระหว่างที่เรียน อาจกล่าวได้ว่า ผู้เรียนจะถูกคาดหวัง ในการประเมินผลการปฏิบัติงานเช่นเดียวกับในสภาพการณ์จริง จัดสิ่งแวดล้อมที่คํานึงถึงความปลอดภัยของผู้ป่วยเป็นหลัก และเพิ่มความสามารถของนักศึกษาโดยให้มีการปฏิบัติงานซ้ําๆ จนนักศึกษาสามารถมีความรู้และทักษะที่พร้อมจะปฏิบัติงานในสถานการณ์จริงได้

การวางแผนเกี่ยวกับศูนย์ Simulation ควรจะต้องมีความครอบคลุมและเกิดความร่วมมือจากภาคส่วนอื่น โดยคํานึงถึง เพราะอะไรจึงจําเป็นต้องมีศูนย์ Simulation ใครเป็นผู้ใช้ ต้องการแหล่งทรัพยากรใดบ้าง ใครจะเป็นผู้สร้างหรือดําเนินการ และจะพัฒนาเมื่อไรผู้ที่ควรจะต้องเรียนรู้โดยใช้ Scenario ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความแตกต่างของหน่วยงาน บางทีอาจจะต้องใช้ Scenario ในหน่วยงานทางการศึกษา เกี่ยวกับการพยาบาลหรือทางด้านคลินิคที่ต้องมีความชํานาญเฉพาะทาง กลุ่มคนที่ต้องการพัฒนาการทํางาน เป็นทีม ลดปัจจัยเสี่ยงในการดูแลคนไข้ นอกจากนี้ผู้ที่ควรใช้ Scenario แบ่งเป็น ๒ กลุ่ม ผู้ที่จะต้องดูแลผู้ป่วย การจัดนิทรรศการเพื่อให้บุคคลภายนอกได้เรียนรู้ในสถานการณ์ต่างๆ

 

เกี่ยวกับคนไข้ในลักษณะต่างๆ เกี่ยวกับวิธีการช่วยเหลือ เป็นต้น

 

1. กลุ่มภายนอก เช่น นักเรียนที่อบรมระยะสั้น อายุน้อยกว่า ๑๘ ปี นักเรียนแพทย์

 

2. กลุ่มภายใน เช่นนักเรียนพยาบาล แผนกเด็ก ผู้ใหญ่ จิตเวช ผดุงครรภ์ นักกายภาพบําบัด และที่สําคัญคือ ผู้สอน Scenario ต้องมีทีมที่คอยอํานวยความสะดวกและมีประสบการณ์ซึ่งประสบความสําเร็จได้ต้องมีผู้สนับสนุนให้โอกาส และให้ความร่วมมือในการสอน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ก็ช่วยให้เกิดการพัฒนาให้เกิดความชํานาญ การทํางานเป็นทีมและมีเครือข่ายในการทํางาน การจัดการเรียนการสอนโดยใช้ Scenario เพื่อให้การจัดการเรียนการสอนเป็นไปด้วยความเรียบร้อยต้องมีดังนี้

การดําเนินงาน และเนื้อหา และโปรแกรมการจัดการเรียนการสอน

 

1. การบริหารจัดการ ต้องมีการมอบหมายงาน มีผู้ที่รับผิดชอบ ต้องแต่ โครงการ

 

2. การบํารุงรักษา ผู้ดูแลวัสดุอุปกรณ์ สามารถที่จะบํารุงรักษาและซ่อมแซมได้

 

3. การพัฒนา

 

ต้องมีกลุ่มทํางานที่จะคอยสนับสนุนในด้านเทคโนโลยีและต้องทันสมัยตลอดเวลาต้องมีการวางแผนห้องจะใช้ที่ไหน ขนาดเท่าไร บุคคลที่จะเข้ามาใช้ จะใช้ Scenario ในหลักสูตรในชั้นปีไหนบ้าง ซึ่งความจําเป็นในการใช้ในแต่ละแผนกที่แตกต่างกัน เช่น ลักษณะห้องสมุด ICU ,Ward ห้องผ่าตัด สิ่งแวดล้อมภายในบ้าน สถานที่ในการฝึกการล้างมือ การช่วยฟื้นคืนชีพ ซึ่งแต่ละสถานการณ์ ลักษณะห้องก็จะมีความแตกต่างกัน นอกจากนี้ สถานที่สําหรับผู้สอนในกรณีใช้สอนการ Debrief จะใช้ที่ไหนได้บ้าง เช่น ใช้ในห้องเรียน ห้องควบคุม ซึ่งจะต้องประยุกต์การใช้ห้องเรียนให้เหมาะสมกับจํานวนผู้เรียนและขนาดของห้องเรียนที่จะใช้

๑๑.วิธีการลง Scenario ในโปรแกรม Sim-Man

 

๑. Double click ที่ Sim-man icon เข้าระบบโดยการเลือกชื่อและใส่password หรือ ไปที่ผู้ใช้รายใหม่

 

๒. หากต้องการปรับค่าต่างๆเป็นระบบ manual control สามารถทําได้โดย เลือก click และปรับเพิ่ม/ ลด

 

D อุณหภูมิร่างกาย (เลือด/ส่วนปลาย)

 

F เสียงต่างๆ เช่น ไอ จาม การตอบโต้ ด้วยคําพูด

 

H กระเพาะปัสสาวะ ตําแหน่งอยู่ที่รูปคน

 

A B

 

F

 

G

 

I H

 

E

 

๓.ขั้นตอนการสร้างเฟรมเหตุการณ์ต่อเนื่อง ให้ไปที่ Menu bar เลือก edit เลือก drop down และ ไปที่

 

๔ .เมื่อปรากฏหน้าต่าง Laerdal Scenario Editor for Simulation ( new scenario SimMan)

 

ซึ่งเป็นหน้าต่างที่จะใช้เพื่อสร้างสถานการณ์ต่อเนื่อง จะมีหน้าต่างสามารถสร้างได้เป็นช่วงๆ

 

โดยจะใช้วิธีการเลือกระบุข้อมูลเหมือนกันในทุกช่วงสถานการณ์ (Frame)

 

และนํามาเชื่อมโยงเป็นสถานการณ์ที่ต้องการซึ่งจะกล่าวถึงในข้อถัดไป วิธีการสร้างสถานการณ์แต่ละช่วง

 

สถานการณ์เริ่มต้นช่วงที่ ๑(Frame ๑:F๑) หาก Click ที่คําว่า

 

Patient จะเปิดหน้าต่างข้อมูลเบื้องต้นของผู้ป่วย (Patient description : A๑)

 

โดยจะสามารถใส่รูปข้อมูลเบื้องต้นของผู้ป่วย (ที่ผู้สอนมีเก็บไว้ใน hard drive หรือ thump drive)

 

เพื่อให้ผู้เรียนได้อ่านจากหน้าจอแสดงเมื่อเริ่ม Scenario (หรือจะใช้วิธีการเขียนข้อมูลลงกระดาษ และ/

 

A1

 

1

 

๕. วิธีการเลือกข้อมูลให้ปรากฏบน Monitor ของผู้เรียน

 

หากต้องการจะเลือกแสดงผลข้อมูลบางส่วนที่จําเป็น บนจอ Monitor สําหรับผู้เรียน

 

สามารถทําได้โดย Click ที่คําว่า Monitor (ลูกศรสีส้ม) จะปรากฏ หน้าต่าง Default

 

Layout (A๒) ให้เลือกข้อมูลที่ปรากฏจากแถบพารามิเตอร์สีดํา จากนั้นข้อมูลจะไปยังช่อง

 

Available parameters ด้านขวามือ (ลูกศรสีเหลือง) ให้เลือกข้อมูลที่ไม่ต้องการซึ่งอยู่ในช่องนี้

 

จากนั้นกดที่ (ลูกศรสีเขียว) เพื่อส่งข้อมูลไปที่ Unavailable parameters จากนั้นคลิกที่

 

OKข้อมูลที่ไม่ต้องการจะหายไปจากหน้าจอแสดงผลของผู้เรียน

 

หมายเหตุ ด้านซ้ายมือของหน้าต่าง Monitor setup จะมี wave form ในรูปแบบต่างๆ

 

ที่ต้องการแสดงให้ผู้เรียนเห็น สามารถเลือกรูปแบบ wave form ตามรูปที่ต้องการได้แล้ว คลิก OK

 

A2

 

1

 

๖. การใส่ข้อมูลต่างๆ ในแต่ละช่วงสถานการณ์ ทําได้โดยเลือกที่ไอคอน Action

 

และเลือกตั้งค่าตามที่ผู้สอนต้องการ เมื่อตั้งค่าได้ตามที่กําหนดให้คลิก OK

 

จากนั้นข้อมูลที่เลือกจะปรากฏในเฟรม (F๑)

 

ข้อมูลการกําหนดค่าต่างๆ มีรายละเอียดพอสังเขป ดังนี้

 

ค่าออกซิเจนในเลือด อุณหภูมิกาย

 

เสียงต่างๆ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ประโยคโต้ตอบ (ใส่ได้เฟรมละ ๑ อย่างเท่านั้น)

 

การเชื่อมต่อข้อมูลเพิ่มเติม เช่น ภาพ x ray, CT scan

 

การกําหนดการเชื่อมต่อเฟรม

 

การเชื่อมต่อระหว่างสถานการณ์

 

๗. การเชื่อมสถานการณ์แต่ละช่วงให้ต่อเนื่อง ทําได้โดยคลิกที่

 

เพื่อเพิ่มชื่อสถานการณ์ที่ต้องการการเชื่อมโยง จากนั้นจะปรากฏหน้าต่าง Edit

 

Menu (ลูกศรสีแดง) เลือก add event จากนั้นไปที่ช่อง Miscellaneous

 

(ลูกศรสีเขียว) คลิกขวาเพื่อเพิ่มเส้นทางให้กับสถานการณ์ว่าจะดีขึ้น หรือ

 

แย่ลงโดยสามารถตั้งชื่อที่แตกต่างกันเพื่อให้ง่ายแก้การจดจําในแต่ละช่วงสถานการณ์

 

๘.การสร้างสถานการณ์ช่วงถัดไป สามารถเพื่อช่วงสถานการณ์ (Frame) ได้ ด้วยการคลิกที่

 

เพื่อเพิ่มเฟรม และดําเนินการตั้งค่าต่างๆ ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงตามวิธีการในข้อที่ ๖

 

๙. การเชื่อมสถานการณ์ทําได้โดยไปที่ไอคอน

 

แล้วเลือกชื่อสถานการณ์ที่ต้องการซึ่งได้ทําการเชื่อมต่อไว้

 

จากนั้นนํามาใส่ในช่องส่วนท้ายของเฟรมที่จะเชื่อมไปสถานการณ์ถัดไป (ลูกศรสีเขียว) หลังจากนั้นให้คลิกที่  เพื่อทําการลากเส้นเชื่อมโยงระหว่างชื่อสถานการณ์จากไอคอนก่อนหน้าไปสู่เฟรมที่ต้องการถัดไป

หมายเหตุ สามารถเปลี่ยนชื่อในสถานการณ์แต่ละช่วงให้ไปที่ชื่อเฟรม (ลูกศรสีเหลือง)

 

คลิกขวาแล้วเปลี่ยนชื่อสถานการณ์ได้จากนั้น กด enter

 

๙.การเริ่มเล่น Scenario ไปที่ Menu bar เลือกที่ file และ click ที่ Start scenario

 

จากนั้นระบบจะเริ่มเล่น ตามค่าที่ได้ตั้งไว้ เมื่อต้องการเปลี่ยนช่วงสถานการณ์ไปสู่ช่วงต่อไป ให้เลือกที่

 

Miscellaneous (ลูกศรสีส้ม) แล้วเลือกช่วงสถานการณ์ที่ตั้งค่าไว้

 

หมายเหตุ การเลือกช่วงสถานการณ์จะต้องมีการเชื่อมต่อสถานการณ์ไว้ โดยห้ามเลือกข้ามขั้นตอนเช่น

 

จากเฟรมที่ ๑ ไปเฟรมที่ ๓ โดยที่ไม่ผ่านเฟรมที่สอง ซึ่งจะเลือกสถานการณ์จากเฟรมที่ ๑

 

ไปเฟรมที่ ๓ ได้เมื่อมีการเชื่อมโยงเฟรม ที่ ๑ ไปหาเฟรมที่ ๓ เท่านั้น และการเชื่อมโยงสถานการณ์

 

สามารถเชื่อมโยงได้มากกว่าหนึ่งเส้นทาง ดังรูป

 

Moulage มาจากภาษาฝรั่งเศส แปลว่า การทําต้นแบบ เป็นการทํา Trauma effect

 

เพื่อให้นักศึกษาได้ฝึกประเมินผู้ป่วยที่มีบาดแผลลักษณะเสมือนจริง

 

1. เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับความปลอดภัย

 

2. เพื่อฝึกทําต้นแบบ : ซีด เขียว มีเหงื่อออก ผื่นแดง แผลฟกช้ํา แผลฉีกขาด

 

- ควรล้างมือให้สะอาดเพื่อลดการปนเปื้อนผลิตภัณฑ์

 

- Trauma effect product มีความปลอดภัย แต่อย่างไรก็ตามควรให้คําแนะนํากับผู้ที่แพ้ง่าย

 

- ระมัดระวังเมื่อใช้ผลิตภัณฑ์บริเวณรอบดวงตา จมูก และปาก

 

- ไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์บริเวณผิวหนังที่มีบาดแผล

 

- Trauma effect product ทุกชนิดสามารถล้างออกได้ แต่อาจใช้เสื้อผ้าที่เก่าแล้ว

 

- ควรถอด contact lenses เพื่อลดอันตรายและการระคายเคืองต่อดวงตา

 

- Wooden spatula ไม่ควรใช้ปนกัน

 

- Sponge wedges ควรใช้แยกกันแต่ละคน

 

- Eye makeup applicators และไม่พันสําลี ใช้ single use

 

- Sponge wedges applicator

 

- Sweat Applicator Sponge

 

วิธีทํา ทา shock color cream ให้ทั่วใบหน้า ใช้ wooden spatula ตัก blue bruise gel

 

เล็กน้อยป้ายไว้บนหลังมือ แล้วใช้นิ้วมือป้ายเจลลงบนปลายจมูก ริมฝีปาก รอบดวงตา และโหนกแก้ม

 

หากใช้ปริมาณมากเกินไป sponge wedges ซับออก หลังจากนั้นใช้ sweat applicator sponge

 

วิธีทํา ใช้ wooden spatula ตัก red bruise gel เล็กน้อยป้ายไว้บนหลังมือ

 

วิธีทํา ใช้ wooden spatula ตัก red bruise gel เล็กน้อยป้ายไว้บนหลังมือ

 

ทาและตบเบาๆลงบนบริเวณที่ต้องการทําแผลฟกช้ํา ใช้ blue bruise gel ป้ายทับลงไปให้เกิดเงาของสี ใช้

 

bruise wheel ป้ายทับลงไปให้เกิดสีคล้ําชัดเจนขึ้น ใช้ wet wipe ซับออก

 

วิธีทํา ทําเช่นเดียวกับแผลฟกช้ํา (Bruise) แล้วใช้ plastic spatula ตัก scab/scratch product

 

เล็กน้อย แล้วกรีดลงบนแผลบนบริเวณที่ต้องการ เพื่อให้แผลดูมีความลึก และเติม sticky blood

 

ลงไปบนรอยแผลที่สร้างไว้ เพื่อให้ดูเสมือนมีเลือดไหลออกมาจากแผล

 

วิธีทํา ทําเช่นเดียวกับแผลฟกช้ํา จากนั้นสร้างแผลเพิ่มเติมให้มีลักษณะของแผลพุพอง โดยใช้ yellow

 

bruise gel ป้ายลงไปบนแผลเป็นวงกลม รอให้น้ําระเหยเพื่อให้แผลดูเสมือนจริง เติม sticky blood

 

ลงบนแผล พ่น black spray และใช้ wet wipe เช็ดสเปรย์บางส่วนออก แผลจะดูเสมือนจริงมากขึ้น

 

เทคนิคการสร้างบาดแผลโดยใช้ scar wax วิธีทํา ปั้น wax ให้เป็นรูปทรงยาวแล้วแปะลงบนผิวหนัง

 

กดขอบให้เรียบไปกับผิวหนัง จากนั้นใช้ plastic spatula กรีดลงบน wax ป้าย sticky blood

 

ให้ดูเสมือนเป็นลิ่มเลือดอยู่บนปากบาดแผล เติม face blood หรือเศษกระจกปลอม

 

นอกจากนี้ ยังมีบาดแผลสําเร็จรูปทําจากซิลิโคนที่มีลักษณะนิ่ม

 

ใช้สร้างบาดแผลที่เป็นลักษณะของCompound fracture หรือ Gun shot wound วิธีทํา ใช้บาดแผลซิลิโคน

 

ทากาวและแปะลงบนผิวหนัง ให้แนบสนิท จากนั้นสร้างแผลให้เสมือนจริงโดยเติม fresh scab/scratch

 

product ขั้นตอนสุดท้าย เติม face blood ให้ดูเสมือนมีเลือดไหลออกจากแผล

 

๑๒.ทักษะการ Facilitation simulation skills

 

วัตถุประสงค์คือ กําหนดบทบาทในการทํา simulation ซึ่งประกอบด้วย บทบาทที่สําคัญ 3 อย่างคือ

 

facilitator, participant/ team และ observer (ใช้เกมต่อหลอดให้สูงที่สุดมาสะท้อนเป็นความรู้ในการเป็น

 

บทบาทของผู้เรียน (participant/ team)

 

- การทํางานสอดคล้องกันหรือไม่

 

- มีคนที่ทําหน้าที่ช่วยเหลืออยู่คนเดียวหรือไม่

 

- มีคนทําหน้าที่คิดอยู่อย่างเดียวหรือไม่

 

- มีการปฏิบัติหลายๆ ทักษะเข้าด้วยกันหรือไม่ อย่างไร

 

- มีการสื่อสารทั้งวัจนภาษา หรืออวัจนภาษา หรือไม่อย่างไร

 

- มีการเคารพซึ่งกันและกันหรือไม่

 

- มีการเสนอความคิดร่วมกันหรือไม่

 

- มีการปฏิบัติ โดยร่วมกันคิดเป็นความเห็นของกลุ่มหรือไม่ อย่างไร

 

- ผู้เรียนที่ผ่านการทํา simulation มีการคาดการณ์ถึงความถูกต้อง หรือแย่ลงหรือไม่อย่างไร

 

ทั้งนี้บทบทของ facilitator อาจมีหลายรูปแบบ เช่น

 

- มีการกระตุ้นกลุ่มหรือไม่ อย่างไร ทําให้กลุ่มเกิดความมั่นใจหรือไม่อย่างไร

 

- มีการรบกวน หรือขัดขางการทํางานของทีมหรือไม่อย่างไร

 

- ผู้ที่เป็น facilitator มีประโยชน์มากน้อยเพียงใด

 

- มีการเสริมแรง ให้กําลังใจอย่างไรหรือไม่ หรือให้ข้อเสนอแนะที่ชัดเจนหรือไม่

 

- มีการหยุดเกม time out หรือไม่ หรือทํากี่ครั้ง

 

- ขณะดําเนินการอภิปรายกลุ่มมีความปลอดภัย หรือไม่ มีสิ่งที่ท้าทายต่างๆ หรือไม่

 

- มีการให้ข้อเสนอแนะ หรือให้คําแนะนําหรือไม่

 

- มีการคิดก่อนให้ข้อเสนอแนะต่อกลุ่มหรือไม่

 

- เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติตามที่ได้เรียนผ่านมาแล้ว

 

มีทักษะมาก่อนหรือนําความรู้มาปฏิบัติเพียงใด

 

1. ให้คําแนะนําระหว่างแสดงสถานการณ์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ หรือขัดขวางการเรียนรู้

 

2. ปรับบทบาทตามสถานการณ์ที่เหมาะสมต่อผู้เรียน เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ให้มากขึ้น

 

3. คิดถึงผลลัพธ์การเรียนรู้ หรือวัตถุประสงค์การเรียนรู้

 

อย่างไรก็ตามบทบาทของ facilitator จะต้องใช้หลาย ๆ ทักษะ เช่น

 

ทักษะการสื่อสารเพื่อเอื้อให้ผู้เรียนปฏิบัติได้

 

หรือคอยช่วยเหลือกรณีผู้เรียนไม่ชอบการฝึกโดยใช้รูปแบบนี้

 

บทบาทของ ผู้สังเกตการณ์ (Observer)

 

- สังเกตการณ์แบ่งงานในกลุ่มอย่างไร ใครเป็นผู้เรียน ผู้สอน

 

- มีใครกลัวการเล่นหรือไม่แสดงออกอย่างไร

 

- มีการแก้ปัญหาหรือไม่เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายต่อกลุ่มอย่างไร

 

- มีการปฏิบัติเพื่อการช่วยเหลืออย่างไร

 

- การแสดงเป็นไปตามวัตถุประสงค์การเรียนรู้หรือไม่

 

- กลุ่มมีการจัดการอย่างไรในผู้ที่มีอาการโกรธ ไม่อยากทํา

 

- ผู้เรียนมีความแตกต่างของความรู้กับสิ่งที่ต้องปฏิบัติหรือไม่ อย่างไร

 

- บางครั้งกลุ่มอาจไม่สามารถแสดงการดูแลได้อย่างเหมาะสม

 

เนื่องมาจากขาดการเตรียมการของผู้สอน

 

๑๓. เรื่องปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ Simulation

 

๑. ปัญหาการใช้หุ่นและเทคโนโลยีสถานการณ์ SBL เป็นเรื่องที่อาจเกิดขึ้นได้ ผู้สอนใน SBL

 

จําเป็นต้องการทราบวิธีที่จะแก้ไขเมื่อพบว่ามีปัญหาที่เกิดขึ้น ปัญหาที่พบได้บ่อย ได้แก่

 

I. ทรวงอกของหุ่นไม่เคลื่อนไหวตามการหายใจ

 

II. ค่า Blood Pressure ที่วัดได้แตกต่างจากที่กําหนดไว้ในสถานการณ์

 

III.จอภาพดับและหุ่นไม่ทํางาน

 

VI.สถานการณ์ (Scenario) ไม่ได้ดําเนินไปตามที่กําหนดไว้

 

1. ทรวงอกของหุ่นไม่เคลื่อนไหวตามการหายใจ แก้ไขได้โดย

 

- ตรวจสอบว่าวาล์วสีน้ําเงินเปิดอยู่

 

- ปล่อยลมออกจากเครื่องปั้มลม (compressor)

 

เนื่องจากบางครั้งอาจมีลมค้างอยูในเครื่องอาจทําให้เครื่องไม่ทํางาน

 

การปล่อยลมทําได้โดยการเปิดวาล์วสีแดงและเปิดเครื่องใหม่อีกครั้ง

 

- ตรวจสอบท่อและข้อต่อระหว่างเครื่องปั้มลมและหุ่นให้เสียบเข้าด้วยกัน

 

- ตรวจดูว่า Software กําลังทํางานอยู่โดยดูจาก Linkbox

 

2. ปัญหาการวัดค่า Blood Pressure ที่วัดได้แตกต่างจากที่กําหนดไว้ในสถานการณ์

 

ในบางครั้งมีวัตถุประสงค์การเรียนรู้ให้ผู้เรียนสามารถประเมินค่าความดันโลหิตให้ถูกต้อง

 

แต่อาจพบได้ว่านักเรียนวัดค่าได้ไม่ตรงกับที่กําหนดไว้ที่หุ่น ให้ดําเนินการดังนี้

 

- ตรวจดูการตั้งค่า Korotkoff Sounds ให้ตั้งค่าเสียงให้ดังที่สุด

 

- Calibrate ค่าแรงดัน Systolic และ Diastolic ที่หุ่นและที่โปรแกรมให้ตรงกัน

 

- Auscultatory Gap on/off feature ตรวจสอบหูฟังว่ามีการเปิดหรือปิด

 

- วิธีการ Calibrate ค่าความดันโลหิต ดําเนินโดยใช้คน 2 คน

 

ว่ามีไฟสีแดงขึ้นแสดงว่าเครื่องทํางานอยู่

 

คนแรกเข้าไปในโปรแกรมควบคุมหุ่น ไปที่เมนู แล้ว click Calibrate

 

เพื่อกําหนดค่าความดันโลหิตให้ตรงกับสถานการณ์ และคนที่สอง ให้บีบ cuff BP

 

ค้างไว้ให้ได้ค่าตรงกับที่กําหนดไว้ที่หุ่น

 

3. จอภาพดับและหุ่นไม่ทํางาน ให้ดําเนินการดังนี้

 

- ตรวจสอบที่ Linkbox ว่ามีไฟแดงสว่างขึ้นหรือไม่ และดูการเชื่อมต่อของสายระหว่าง

 

Linkbox กับว่ามีการเชื่อมต่อหรือไม่

 

- ตรวจสอบสายการเชื่อมต่อของสายระหว่างหุ่นกับจอภาพ

 

- Reboot หุ่นและเครื่องคอมพิวเตอร์พร้อมกัน

 

4. ไม่มีเสียงออกจากหุ่น ให้ไปที่โปรแกรมและดําเนินการดังนี้

 

- คลิกเมนู Edit ที่มุมซ้ายบน

 

- เลือก รูปไมโครโฟน

 

- คลิกเลือก ไมโครโฟน In use “Primary Sound Capture Driver”

 

- กําหนดค่าความดังของเสียง

 

- ตรวจสอบที่ปุ่มลําโพงที่มุมล่างขวา

 

5. จอภาพผู้ป่วยค้าง ดําเนินแก้ไขโดยใช้โปรแกรม elo เมื่อปุ่มไอคอนโปรแกรมนี้

 

จะปรากฏอยู่ที่มุมล่างซ้ายของเมนู bar ของเครื่องคอมพิวเตอร์ และให้ดําเนินการดังนี้

 

- Double คลิกที่ไอคอน elo และคลิกที่ปุ่ม “รูปเป้าปืน” และกด “esc” ที่คีย์บอร์ด

 

- สัมผัสที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ของผู้ป่วยตามต้องการที่จะให้ปรากฏค่า EKG หรือ HR

 

6. สถานการณ์ (Scenario) ไม่ได้ดําเนินไปตามที่กําหนดไว้

 

มักเกิดจากการออกแบบสถานการณ์ไม่ถูกต้อง Scenario จะดําเนินการไปข้างหน้า

 

โดยไม่สามารถย้อนกลับสู่สถานการณ์เดิมได้ ดังนั้นหากต้องการให้ผู้ป่วยดีขึ้นหรือแย่ลง

 

จะต้องกําหนด Frame สถานการณ์ใหม่และคลิกเชื่อมสถานการณ์ให้ถูกต้อง ต่อเนื่องกัน

 

แก้ไขทําได้โดยการกลับเข้าไปแก้ไขและออกแบบสถานการณ์ใหม่อีกครั้ง

 

สถานการณ์จําลอง และการประเมินการเรียนรู้

 

การประเมินการเรียนรู้ในสถานการณ์จําลอง

 

1. สิ่งที่ต้องประเมินคืออะไรบ้าง

 

- เทคนิคการปฏิบัติงานในคลินิก เช่นการประเมินสภาพผู้ป่วย

 

การสังเกตอาการและอาการแสดงของผู้ป่วย ฯลฯ

 

- Human factors ปัจจัยทางบุคคล เช่น การสื่อสาร การทํางานเป็นทีม ภาวะผู้นํา

 

- การตัดสินใจและการใช้เหตุผลทางคลินิก

 

- ประเมินความรู้และการใช้ความรู้

 

- ประเมินในขณะที่อยู่ในสถานการณ์จําลอง

 

- ประเมินภายหลังสถานการณ์จากการบันทึกวีดิโอ

 

- ประเมินโดยการซักถาม

 

4. การประเมินตามสภาพจริง

 

- Mueller (2006) กล่าวว่า การประเมินตามสภาพจริง มาจากความคิดที่ว่า

 

บัณฑิตจะต้องเป็นผู้ทีมีความสามารถในการปฏิบัติงาน

 

ดังนั้นการประเมินตามสภาพจริงเป็นวิธีที่ทําให้นักศึกษาได้ฝึกฝนและท้าทายให้เผชิญกับโลก

 

- การประเมินตามสภาพจริงเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและยากที่จะดําเนินการ

 

- การจัดการเรียนการสอน Simulation จําเป็นต้องประเมินตามสภาพจริง

 

- ใช้ในการประเมินการทํางาน

 

- เป็นการประเมินแบบบูรณาการในเรื่องความรู้ ทักษะการปฏิบัติ การแก้ปัญหา

 

การคิดอย่างมีวิจารณญาณ

 

- ประเมินนักศึกษาได้อย่างรวดเร็วจากสิ่งที่นักศึกษาทํา

 

1. นักศึกษาจะต้องมีสถานการณ์ที่เหมือนกัน เครื่องมือ ความซับซ้อนของโจทย์เหมือนกัน

 

2. โจทย์สถานการณ์อาจมีความแตกต่างกัน

 

3. ใช้การประเมินโดยใช้วิธีการผ่าน/ตก

 

4. หุ่นจะต้องมีมาตรฐานเดียวกันแตกต่างกันได้ไม่เกิน 10%

 

5. ต้องมีแผนผังห้องสถานการณ์จําลอง

 

6. ต้องมีแนวทางและคําแนะนําให้กับนักศึกษา

 

7. มีการสนับสนุนอื่นๆเช่น ป้ายขั้นตอนการประเมิน SBAR , การประเมินABCD

 

ความตรงและความเชื่อมั่นของเครื่องมือประเมิน

 

1. ระดับของการประเมินได้จากเครื่องมือ เช่น การทํางานเป็นทีมสามารถวัดได้โดยกลุ่ม

 

2. ประเมินการตรงจากการแสดงสีหน้า

 

3. ความตรงด้านเนื้อหา

 

1. ผู้ประเมินแต่ละคนจะต้องประเมินการปฏิบัติของนักศึกษาได้เหมือนกัน เป็นแนวทางเดียวกัน

 

2. การวัดซ้ําของผู้วัดแต่ละคน

 

ต้องมีความเหมือนกันหรือใกล้เคียงกันสามารถหาความเชื่อมั่นได้โดยประเมินจากการดูวีดิโอ

 

จะต้องมีการประเมินหรือให้คะแนนที่เหมือนกัน

 

1. จะต้องให้นักศึกษารับรู้การประเมิน

 

2. ต้องให้คําแนะนํากับนักศึกษาก่อนว่าจะมีการทดสอบอะไร แจ้งวัตถุประสงค์ของการประเมิน

 

3. ต้องให้นักศึกษามีโอกาสได้ฝึกประสบการณ์ก่อนการทดสอบ

 

4. มีโอกาสที่จะฝึกประสบการณ์ด้วยตนเอง

 

5. นักศึกษาต้องได้รับการฝึกและให้คําแนะนําที่ครอบคลุมประเด็นที่ถูกประเมินทุกเรื่อง

 

6. เอกสารทุกชนิดเช่น แฟ้มผู้ป่วย โจทย์สถานการณ์ ฯลฯ

 

จะต้องถูกเตรียมให้กับนักศึกษาเป็นการล่วงหน้าทุกคน

 

ข้อควรรู้ แนวทางการประเมินเมื่อนักศึกษาทําผิดพลาด

 

- นักศึกษาก็สามารถผิดพลาดได้ (ทําผิดหรือลืมทํา)

 

- บอกข้อผิดพลาด

 

- บอกข้อควรแก้ไขและปฏิบัติใหม่

 

ความผิดพลาดบางอย่างไม่ได้ก่อให้เกิดอันตรายแต่

 

- ความผิดพลาดสามารถที่จะแก้ไขได้

 

(ความผิดพลาดลดหรือขจัดความเสี่ยงได้)

 

-

 

นักศึกษาสามารถอธิบายความเสี่ยงที่จะเกิดกับผู้ป่วยไ

 

ด้

 

การสอนให้รู้จักและรู้จักแก้ไขความผิดพลาดเป็นทั

 

๑๔. การประเมินทักษะทางคลินิก (Objective structured clinical examination :OSCE) OSCE

 

ประกอบด้วย ฐานการประเมินสั้นๆ 5-10 นาที

 

ที่ผู้เข้ารับการประเมินจะต้องถูกสอบเป็นรายบุคคลในแต่ละฐาน ทั้งในผู้ป่วยหรือผู้ป่วยจําลอง

 

(นักแสดงหรือหุ่น) แต่ละฐานจะต้องมีความแตกต่างในการทดสอบและหมุนเวียนผ่านแต่ละฐาน

 

1. Multiple unrelated systems

 

จัดได้ตั้งแต่ 1-9 ฐาน ขึ้นอยู่กับหัวข้อการประเมินและความซับซ้อนในการประเมิน

 

รูปแบบการสอนแบ่งผู้เรียนเป็น ๔ กลุ่ม กลุ่มละประมาณ ๙-๑๑ คน โดยแบ่งกันฝึกปฏิบัติสถานการณ์

 

(scenario) จํานวนทั้งหมด ๔ สถานการณ์ ได้แก่

 

1. การพยาบาลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง (stroke)

 

2. การพยาบาลผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (Chronic obstructive pulmonary disease ; COPD)

 

3. การพยาบาลผู้ป่วยโรคภาวะหัวใจเลือดคั่ง (Congestive heart failure)

 

4. การพยาบาลผู้ป่วยที่มีลมในเยื่อหุ้มปอด (Pneumothrorax)

 

ทั้งนี้ในการฝึกแต่ละสถานการณ์มีหลักการในรูปแบบเดียวกัน จึงขอยกตัวอย่างสถานการณ์ 1

 

สถานการณ์ (scenario) : การพยาบาลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง (stroke)

 

ผู้ป่วยชายชื่อ นายแสตนลี่ อายุ 76 ปี อาศัยตามลําพังในบ้านพัก

 

ต่อมามีอาการล้มป่วยซึ่งผู้ดูแลบ้านพักมาพบเห็นในเวลา 09.00 น.

 

จึงได้โทรศัพท์ตามรถฉุกเฉินเพื่อนําส่งโรงพยาบาล

 

ผู้นําส่งประเมินว่านายแสตนลี่น่าจะเกิดปัญหาจากโรคหลอดเลือดสมอง

 

ปฏิเสธการแพ้ยา มีปัญหาความดันโลหิตสูงตั้งแต่ปี ค.ศ. 1990

 

มีภาวะเจ็บหน้าอกตั้งแต่ปี ค.ศ. 1998

 

มีภาวะ Heart attack ในปี ค.ศ. 1995 และ 1998

 

การรักษา – Isosorbide Mononitrate 20 mg วันละ 2 ครั้ง

 

- Amlodipine 5 mg วันละครั้ง

 

- Co-codom0l (500) / 8 mg เมื่อมีอาการ

 

ให้ผู้เรียนฝึกปฏิบัติในบทบาทพยาบาลวิชาชีพที่ดูแลผู้ป่วยและการประเมินเพื่อรวบรวมข้อมูลที่เป็นปั

 

ญหาของผู้ป่วยโดยยึดหลักการประเมินตาม ABCDE ซึ่งปฏิบัติดังนี้

 

1. A = Airway ซักประวัติถามอาการ ประเมินทางเดินหายใจ

 

2. B = Breathing ดูลักษณะการหายใจ ฟังปอดและวัด O2

 

3. C = Circulation วัดสัญญาณชีพ ดู capillary refill ฟังเสียงหัวใจ ตรวจประเมินคลื่นไฟฟ้าหัวใจ

 

4. D = Disability ประเมิน Neurological signs (EVM)

 

5. E = Exposure จากการตรวจร่างกายที่ฟังปอดพบ wheezing O2

 

หลังจากพบปัญหาให้การช่วยเหลือโดยรายงานแพทย์เพื่อการรักษาโดยการรายงานยึดหลัก

 

1. S = situation แนะนําชื่อพยาบาลที่รายงานแพทย์ ชื่อหอผู้ป่วย ชื่อผู้ป่วย

 

2. B = Background ประวัติการเจ็บป่วยปัจจุบัน โรคประจําตัว การผ่าตัด

 

3. A = Assessment ระบุปัญหาที่พบและการพยาบาลที่ให้หรือไปแล้ว เช่น O2

 

พบว่าผู้ป่วยสามารถพูดคุยได้แต่สับสน ไม่มีอาการอุดกั้นทางเดินหายใจ

 

mask c bag 15 LPM

 

saturation พบว่าค่า O2

 

saturation ต่ํา ร่วมกับผล

 

Lab ABG ที่พบว่ามีภาวะ respiratory acidosis

 

ประเมินแล้วมีปัญหาอะไรบ้าง

 

การรักษาก่อนมานอนโรงพยาบาล

 

mask c bag 15 LPM

 

4. R = Recommendation

 

เสนอแนะแพทย์ให้เห็นความสําคัญที่ต้องรีบมาดูอาการผู้ป่วยให้ทันท่วงที

 

ผู้สอนบอกผู้เรียนให้ทราบรายละเอียดผู้ป่วย เช่น ประวัติผู้ป่วย ประวัติการเจ็บป่วยปัจจุบัน

 

ขณะทํากิจกรรมผู้สอนจะกระตุ้นให้ผู้เรียนปฏิบัติตามหลักกระบวนการ ABCDE โดยการตั้งคําถามนํา

 

เมื่อผู้ป่วยมาด้วย stroke จะประเมิน A อย่างไรและจะประเมิน B ด้วยวิธีใด

 

ผู้ป่วยมีความผิดปกติของ ABG จะตัดสินใจรายงานแพทย์หรือยัง

 

ความผิดปกติของ stroke จะตรวจพบจากอาการอะไรบ้าง

 

เมื่อรายงานแพทย์แล้วคิดว่าแพทย์จะมีแผนการรักษาอย่างไรต่อไป

 

การฟังปอดที่พบ wheezing ใน stroke และผู้ป่วยมีไข้ร่วมด้วย น่าจะเกิดจากปัญหาใด

 

และจะจัดการด้วยวิธีใด

saturation ต่ํา จะจัดการอย่างไรกระบวนการ Debrief ผู้เรียนต้องการเวลาที่จะบอกความรู้สึก

 

การบริหารจัดการ การแบ่งหน้าที่ การสื่อสารในกลุ่มเล็กจะดีกว่ากลุ่มใหญ่

จํานวนคนที่เข้าเรียนควรเป็นกลุ่มเล็ก

เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเกิดการเรียนรู้ที่ดีและแสดงศักยภาพได้เต็มที่การทําให้เสมือนจริงถูกต้องและแม่นยําการทําให้เสมือนจริงต้องทําให้หุ่นสามารถพูดคุยโต้ตอบได้ ใช้หุ่นให้เหมือนสถานการณ์จริง

 

ซึ่งการทําให้เสมือนจริงถูกต้องและแม่นยําประกอบด้วย

1. Environmental Fidelity การจัดสถานการณ์บรรยากาศห้อง ให้เสมือนจริง เช่นเสียงโทรศัพท์ดัง

2. Equipment Fidelity การใช้หุ่นที่เสมือนจริง เช่นพูดได้ ร้องไห้ได้ กระพริบตา ฟังเสียงปอดได้

ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของผู้เรียนและถ้าแสดงให้เห็นจริงจะส่งผลให้ผู้เรียนมีความเข้าใจและคิดว่าเห

 

ข้อจํากัดของการทําให้เสมือนจริง

1. ด้านสิ่งแวดล้อม ห้องสําหรับการสอน Simulation อาจจะไม่เสมือนจริงโดยการใช้ห้องแทนกัน

เช่นการใช้ห้องฉุกเฉินแทนห้องผู้ป่วยหนัก แต่อย่างไรก็ตามต้องใช้ห้องให้เกิดความคุ้มค่า

ดังนั้นการจะรายงานสถานการณ์ต่างก็ต้องดูว่าขณะนี้อยู่วอร์ดอะไร

จะให้เหมือนที่โรงพยาบาลหมดทุกอย่างจะเป็นไปได้ค่อนข้างยากหรืออาจจะเป็นไปไม่ได

เพราะการซื้อของบางอย่างอาจจะใช้คําสั่งแพทย์

ดังนั้นอาจจะขอความอนุเคราะห์จากโรงพยาบาลนําอุปกรณ์ที่ไม่ใช้แล้วมาใช้ในห้อง Simulation

3. ด้านอารมณ์และจิตใจ เนื่องจากหุ่นไม่ใช่คนจริง

อาจจะยากในการเข้าถึงจิตใจที่แท้จริง ดังนั้นการที่จะทําให้นักศึกษาคิดว่าได้อยู่ในสถานการณ์จริง

โดยให้ไปศึกษาจากสถานการณ์จริงหรืออาจจะให้นักศึกษาที่มีประสบการณ์ตรงเล่าให้เพื่อนคนอื่นๆ ฟั

การที่จะแสดงให้เหมือนจริง ขึ้นอยู่กับความรู้สึกของผู้เรียน รวมถึงผู้สอนและหุ่น

การมีปฏิสัมพันธ์กับหุ่น เช่น เมื่อหุ่นพูดแล้วนักศึกษาพูดตอบโต้ได้ จะทําให้มีความเสมือนจริงมากยิ่งขึ้น

การเขียน Scenario ให้มีความน่าสนใจและเสมือนจริงต้องมีภาพประกอบ

เพื่อบอกถึงประวัติของผู้ป่วยต้องเชื่อมโยงกับประสบการณ์ของผู้เรียนให้คล้ายกับสถานการณ์จริง

โดยการเขียนสถานการณ์ต้องเสมือนจริง ต้องดูว่าโรคที่เขียนเป็นโรคที่พบบ่อยหรือไม่

และอาการจะต้องตรวจพบอะไร CXR พบปอดผิดปกติอย่างไร และการฟังเสียงปอดต้องสอดคล้องกับผล CXR

การกําหนดบทบาทของผู้เรียนต้องสัมพันธ์กับสถานการณ์ที่มีของโรงพยาบาล

CPR ผู้สอนสร้างสถานการณ์ให้นักศึกษาได้ฝึกจะทําให้ผู้เรียนลดความกลัว ความวิตกกังวล

การกําหนดสถานการณ์จะต้องดูประสบการณ์ของผู้เรียน เช่นนักศึกษาไม่เคย

และสิ่งที่สําคัญการเขียน Scenario ไม่ควรเขียนสถานการณ์ให้ผู้ป่วยอาการแย่ลงจนกระทั่งเสียชีวิต

เพราะจะทําให้นักศึกษาขาดความเชื่อมั่นและมีประสบการณ์ที่ไม่ดีต่อการเรียน

- ต้องกระตุ้นผู้เรียน เช่นสอนเรื่อง Sepsis ต้องอธิบายว่ามีคนเสียชีวิตเพราะ Sepsis ทุก 3 วินาที

จะทําให้ผู้เรียนเห็นความสําคัญมากยิ่งขึ้น

- สถานการณ์ต้องให้ตรงกับความเป็นจริง ภาพที่ใช้ประกอบต้องสอดคล้อง เช่น เสมหะ

สีของเสมหะต้องสอดคล้องกับโรคที่เป็นอยู่

- หุ่นต้องมีการแต่งตัว เช่น ใส่หมวกกันน๊อคในสถานการณ์อุบัติเหตุต้องมีการถอดหมวกกันน๊อค

การสรุปบทเรียนที่ผ่านมาแล้วนําไปสอนผู้เรียน โดยได้แจ้งข้อมูลให้ผู้เรียนว่า

กําลังจะนําเข้าสู่การเรียนการสอนวิชาอะไร บอกวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนกับผู้เรียน

แล้วทําไมถึงต้องจัดการเรียนการสอนโดยใช้ simulation สิ่งที่จะได้รับจากการนํา SimMan Senario มาใช้

1. ความปลอดภัย ของผู้ป่วย และตัวผู้เรียน

2. ประสบการณ์ของผู้เรียนที่ได้รับจากสถานการณ์

ทําให้ผู้เรียนสามารถดูแลให้การช่วยเหลือผู้ป่วยได้ดีขึ้น ให้การช่วยเหลือพยาบาลได้อย่างถูกต้อง

3. ผู้เรียนมีทักษะ ความชํานาญในการดูแลให้การช่วยเหลือผู้ป่วยได้ดี

4. มีประโยชน์ทั้งผู้เรียนและผู้ป่วย นอกจากนี้ ในการดูแลผู้ป่วยภาวะฉุกเฉิน

เป็นการฝึกให้ผู้เรียนในการตัดสินใจการให้การช่วยเหลือผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะวิกฤตรวมถึงการทํางานเป็

๑๕. SimMan Senario มีความสําคัญอย่างไร?มีการเปิด VDO จําลองการเกิดเหตุการณ์ขึ้นกับสายการบิน โดยให้ศึกษาวิธีการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในภาวะวิกฤต การสื่อสารข้อมูลระหว่างนักบินกับหอบังคับการบิน นักบินได้แจ้งเครื่องลงจอดแต่มีปัญหาเนื่องจากมีฝูงนกบินรบกวนจํานวนมาก ทําให้ไม่สามารถนําเครื่องลงจอดสนามบินได้ จึงได้นําเครื่องบินบินรอบสนามบินหลายรอบจนเครื่องบินน้ํามันหมด แต่ก็ไม่สามารถลงจอดได้ประกอบกับสนามบินไม่มี runway ว่างให้เครื่องลงจอดได้

ซึ่งนักบินได้มีการสื่อสารอย่างมีสติไม่ตื่นตระหนก และลดความตึงเครียดจึงได้ตัดสินใจนําเครื่องลงจอดแม่น้ํา

Hudson river จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ผู้สอน ชี้ประเด็นให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เกี่ยวกับการสื่อสาร การตัดสินใจ การควบคุมสติ เวลาเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินขึ้นบอกให้เห็นว่าประโยชน์ของการนํา SimMan Senario มาใช้มีอะไรบ้าง? มีการศึกษาวิจัย Pilot study พบว่า นักศึกษา 12 คน ส่วนใหญ่บอกว่า เขามีอาการตื่นเต้นในระยะแรกแต่หลังจากนั้นก็สามารถนําความรู้ที่ได้เรียนมามาใช้ได้

และทุกคนเห็นตรงกันว่าทําให้เขามีทักษะ สามารถรู้ได้ว่าผู้ป่วยมีอาการเปลี่ยนแปลงแย่ลง หรืออาการเลวลงจากเดิมได้ และทุกคนใน Pilot study มีความมั่นใจมากขึ้น และได้มีการยกตัวอย่างคําพูดของนักศึกษาว่า “ มีความมั่นใจเมื่อเกิดสถานการณ์ในห้องฉุกเฉิน และมีความมั่นใจที่จะเรียนรู้ต่อไปในอนาคต ในวิชาที่มีความซับซ้อนหรือวิชาที่มีความยากมากขึ้นกว่าเดิม การบอกวัตถุประสงค์ของผู้สอนที่จะทําการสอน SimMan Senario ต้องชัดเจน เช่น ถ้าต้องการให้ผู้เรียนตระหนักหรือสามารถประเมินอาการผู้ป่วยได้ว่ามีอาการแย่ลงจากเดิม ผู้เรียนสามารถประเมินผู้ป่วยได้ถูกต้องโดยประเมินจาก ABCD สามารถรายงานข้อมูลและการส่งต่อผู้ป่วยใช้หลัก SBARการทํา SimMan Scenario อาจได้มาจากจากนั้นอาจารย์ได้ให้สมาชิกในชั้นเรียนแบ่งกลุ่มออกเป็น 4 กลุ่ม โดยแต่ละกลุ่มได้มีการใช้กระบวนการทั้งหมดที่ได้เรียนมา มาจําลองใช้กับหุ่นในห้องปฏิบัติ

ตั้งแต่การวางแผนร่วมกันกับสมาชิกในทีม โดยอาจารย์ได้กําหนดสถานการณ์มาให้ทํา ทีมได้มีการวางแผนตั้ง กําหนดบทบาทหน้าที่ ใครจะทําหน้าที่อะไร เช่น ผู้เรียน ครูผู้สอน Facilitator ผู้บันทึกข้อมูล

มีการ Pre-Brief และจะต้องแจ้งผู้เรียนทุกครั้งว่าจะมีการ Debrief ด้วย ในการ Debrief จะมี 3 Phase

1. ให้นักศึกษาบอกความรู้สึกของตนเอง

2. ชื่นชมให้กําลังใจแก่ผู้เรียนในสิ่งที่ทําได้ดีขึ้นก่อน

จากนั้นถ้าพบว่าผู้เรียนทําไม่ถูกต้องก็สามารถบอกให้ข้อแนะนํา ชี้ข้อบกพร่องให้แก่ผู้เรียนได้

ทําให้ผู้เรียนสามารถเกิดการเรียนในขณะนั้นได้เลย ไม่ต้องรอสรุปสุดท้าย ผู้สอนก็สามารถทําได้

3. การเคารพความคิดเห็นการปฏิบัติของเพื่อนร่วมทีมทุกคน

เพราะถ้าสมาชิกทุกคนในทีมทําให้เสมือนจริง และมีความเชื่อเดียวกันว่าจะทําให้เสมือนจริงมากที่สุด

ผู้สอนต้องตระหนักถึงความสําคัญ แม้นว่าบางครั้งอาจมีการกระทําอะไรไม่ถูกต้อง จากนั้นได้มีการทดลองให้แต่ละกลุ่มแยกย้ายฝึกปฏิบัติกับอาจารย์ผู้สอนแต่ละกลุ่มก็ได้มีการทําตามขั้นตอนตามที่ได้เรียนมาตามบทบาทที่ได้วางแผนกําหนดร่วมกับทีมตั้งแต่เริ่มต้นหลังจากนั้น อาจารย์ได้ให้สถานการณ์จําลองของผู้ป่วยมา โดยให้ครูผู้สอนได้ให้ข้อมูลสถานการณ์กับผู้เรียน ผู้เรียนได้รับข้อมูลก็เริ่มแสดงตามบทบาท และให้การช่วยเหลือผู้ป่วย การสังเกตอาการผู้ป่วยที่แย่ลงจากเดิม การให้การช่วยเหลือร่วมกับทีมโดยมีการแบ่งหน้าที่ มีหัวหน้าทีม Facilitator, Observer, เสมือนกับได้ดูแลผู้ป่วยบนหอผู้ป่วยจริงๆ ตั้งแต่พบผู้ป่วยของผู้เรียนครั้งแรก จนถึงการดูแลการให้การช่วยเหลือ การนึกถึงโรคที่อาจคลาดเคลื่อน ผู้สอนอาจจะ Time out และชี้แนะ ให้ผู้เรียนกลับมาจากการคาดการณ์ที่อาจเข้าใจผิด (อาการแสดงของผู้ป่วยที่พบกับสิ่งที่ส่งตรวจต้องสัมพันธ์กันกับความน่าจะเป็นของโรค) ให้นึกถึงความน่าจะเป็นโรคของผู้ป่วยมากที่สุด ถ้าผู้เรียนสามารถเข้าใจถูกทางแล้ว ก็ให้ดําเนินการต่อจนสิ้นสุด หลังจากนั้นผู้สอนได้มีการ Debrief ให้กับผู้เรียน และให้ผู้เรียนแสดงความรู้สึกจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น การเรียนรู้ที่ได้รับ การแสดงความคิดเห็น เป็นต้น และผู้สังเกตการณ์ได้ให้ข้อมูลสะท้อนกลับต่อการช่วยเหลือผู้ป่วยกับสถานการณ์จําลองที่ให้มา รวมถึง หลังจากนั้นอาจารย์ผู้สอนได้มีการสรุปภาพรวมของแต่ละกลุ่มทั้ง 4 กลุ่ม ได้ชี้แนะ ให้กําลังใจ ชื่นชมแต่ละกลุ่ม และได้เพิ่มเติมบทบาทที่ดีของครู ต้องมีความชัดเจน ระหว่างห้องฝึกปฏิบัติกับห้อง Control การประเมินผู้ป่วย ABCD การตรวจร่างกายตั้งแต่ Head to toe ขึ้นอยู่กับสถานการณ์แต่ละสถานการณ์ ครูผู้สอน 2 คนต้องรู้ข้อมูลเหมือนกันว่าจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงอาการของผู้ป่วยในสถานการณ์ตอนไหน ครูผู้สอนต้องสามารถควบคุมสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ดี ให้มีการดําเนินการไปอย่างราบรื่น ให้การฝึกปฏิบัติเป็นไปตามแผนที่วางไว้ ควรกระตุ้นให้ผู้เรียนอยากที่จะเรียนรู้ และไม่ควรยากหรือง่ายเกินไป

การวางแผนในการนํา Simulation ไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนหลังจากที่ได้เรียนฝึกอบรมในครั้งนี้

1. ท่านจะนําความรู้อะไรที่ได้รับในครั้งนี้ไปใช้ในการเรียนการสอนวิชาอะไรกับนักศึกษาชั้นปีไหน?

2. ท่านจะสอนอะไรบ้างและทักษะที่สําคัญจะนํามาใช้กับ Simulation ?

3. ต้องการอุปกรณ์ เครื่องมืออะไรบ้าง ในการฝึก Simulation ?

4. ต้องการ Staff ที่จะมาช่วยในการฝึกปฏิบัติให้กับผู้เรียน จํานวนมากน้อยแค่ไหน?

5. มีการประเมินนักศึกษาจากการฝึกอย่างไร?

จากนั้นแต่ละคนก็ฝึกทําแบบฝึกหัดตามที่อาจารย์มอบหมายให้ฝึกทํา อาจารย์คอยเข้าดูแลช่วยเหลือว่าสามารถเข้าใจในสิ่งที่มอบหมายงานให้ทํา ผู้เข้ารับการอบรมส่วนใหญ่ทุกสามารถทําได้ดี อาจารย์ก็ได้ชื่นชมและเพิ่มเติมในส่วนที่ขาดให้กับผู้เข้ารับการอบรม

ช่วงสุดท้ายของการสิ้นสุดของการอบรมในวันนี้และครั้งนี้ Dr. Jhon และคณะ ได้ให้ผู้เข้ารับการอบรมเขียนสิ่งที่ได้รับตลอดระยะการอบรม 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา แสดงความคิดเห็น

ข้อเสนอแนะ ความรู้สึกต่อการอบรมในครั้งนี้ เพื่อที่จะนําไปปรับปรุงในการเรียนการสอนในรุ่นที่ 2 ต่อไป อาจารย์กล่าวแสดงความรู้สึกตลอดระยะเวลาที่เตรียมการและการสอนที่ผ่านมาแม้นว่าจะเหนื่อยมากแต่ก็มีพลังที่จะสามารถฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆไปได้และมีความสุขมากที่ได้สอนกับผู้เข้ารับการอบรม ตัวแทนของผู้เรียนก็ได้กล่าวขอบคุณอาจารย์ทุกท่านที่ให้ความรู้ ชี้แนะต่างๆให้กับผู้เข้ารับการอบรม ทําให้ทุกคนมีความสุขตลอดการฝึกอบรมที่ผ่านมา และทุกคนได้เขียนความรู้สึกลงในกระดาษใหอาจารย์

ความรู้ที่สามารถนํามาประยุกต์ใช้กับการปฏิบัติงาน:

นําความรู้เรื่องการจัดการเรียนการสอนโดยใช้การจําลองสถานการณ์ (Simulation)

มาจัดการเรียนการสอนแก่นักศึกษาชั้นปีที่ ๓ ในรายวิชาการพยาบาลบุคคลที่มีปัญหาสุขภาพ ๒,๓

๑.จัดทําคู่มือการเรียนการสอนโดยใช้การจําลองสถานการณ์ (Simulation)

๒. จัดอบรมเชิงปฏิบัติการการจัดเรียนการสอนโดยใช้การจําลองสถานการณ์ (Simulation)

๓.นําความรู้มาใช้ในการจัดการเรียนการสอนสําหรับนักศึกษาชั้นปีที่ ๓

ในรายวิชาการพยาบาลบุคคลที่มีปัญหาสุขภาพ ๒,๓ ในปีการศึกษา ๒๕๕๗

๑.จัดทําคู่มือการเรียนการสอนโดยใช้การจําลองสถานการณ์ (Simulation)

๒. จัดอบรมเชิงปฏิบัติการการจัดเรียนการสอนโดยใช้การจําลองสถานการณ์ (Simulation)

๓.นําความรู้มาใช้ในการจัดการเรียนการสอนสําหรับนักศึกษาชั้นปีที่ ๓

ในรายวิชาการพยาบาลบุคคลที่มีปัญหาสุขภาพ ๒,๓ ในปีการศึกษา ๒๕๕๗ (2890)

ระบบจ่ายตรงเงินเดือนและค่าจ้างประจําจากเงินงบประมาณ สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข รุ่นที่ 9

ระบบจ่ายตรงเงินเดือนและค่าจ้างประจําจากเงินงบประมาณ สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข รุ่นที่ 9

แบบฟอร์มสำหรับส่งบทความเข้าคลังความรู้

 

วันที่บันทึก : 18   สิงหาคม 2557

ผู้บันทึกนางสาวขวัญหฤทัย บุญสําราญ

 ฝ่าย :  สังกัดฝ่ายบริหารทั่วไป

ประเภทการปฏิบัติงาน

วันที่   24 – 25 กรกฎาคม 2557

หน่วยงาน/สถาบันที่จัด :

สถานที่จัด :  ห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข

 เรื่อง : อบรมระบบจ่ายตรงเงินเดือนและค่าจ้างประจําจากเงินงบประมาณ สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข รุ่นที่ 9

รายละเอียด

ด้านเนื้อหาสาระ  ในการจัดอบรมในครั้งนี้ ทางผู้จัดมีวัตถุประสงค์เพื่อ

1. เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับระบบการจ่ายตรงเงินเดือนและค่าจ้างประจํา ซึ่งประกอบด้วยข้อมูลพื้นฐานทั่วไปที่ใช้งานร่วมกับข้อมูลพื้นฐานเฉพาะระบบงานแต่ละระบบ ระบบถือจ่ายฯ ระบบทะเบียนประวัติฯ ระบบการจ่ายตรงความเข้าใจเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติงานของระบบงานจ่ายตรงเงินเดือนและค่าจ้างประจําได้อย่างถูกต้อง เพื่อให้การดําเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล

2. เพื่อเสริมสร้างความรู้

3. เพื่อแก้ไขปัญหาอุปสรรคในการปฏิบัติงานในระบบจ่ายตรงเงินเดือนและค่าจ้างประจํา

4. เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

1.2 สรุปเนื้อหาจากการเรียนรู้ด้านใด บริหาร วิชาการ วิชาชีพ ทัศนคติ

 

 

ความรู้ที่ได้นําไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนางานของตนเอง

2.1 ด้านการนําผลการพัฒนาไปประยุกต์ใช้กับงาน สามารถนําความรู้ที่ไปอบรมมาใช้ในการปฏิบัติงานและเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับระบบการจ่ายตรงเงินเดือนและค่าจ้างประจํา  ซึ่งประกอบด้วยข้อมูลพื้นฐานทั่วไปที่ใช้งานร่วมกับข้อมูลพื้นฐานเฉพาะระบบงานแต่ละระบบ ระบบถือจ่ายฯ ระบบทะเบียนประวัติฯ ระบบการจ่ายตรง ระบบถือจ่ายเงินเดือนข้าราชการ และระบบถือจ่ายลูกจ้างประจํา ได้แก่

รายการเงินเพิ่ม การบันทึกการเลื่อนเงินเดือน การบันทึกคําสั่งตกเบิก การบันทึกคําสั่งตกเบิกเงินเพิ่ม

รายละเอียดการเลื่อนขั้นเงินเดือน

1. ข้อมูลปัจจุบัน ได้แก่ การบันทึกอัตราว่าง การบันทึกการบรรจุ/โยกย้าย การบันทึก

2. ข้อมูลประวัติ ได้แก่ ประวัติอัตรา ประวัติการดํารงตําแหน่ง ประวัติรายการเงินเพิ่ม

3. การเลื่อนเงินเดือน

4. การปรับบัญชีค่าจ้างใหม่

5. การจัดระบบตําแหน่งเดิมไปสู่ระบบตําแหน่งใหม่ เป็นต้น

2.2 ด้านการนําผลการพัฒนาไปใช้ประโยชน์ การเรียนการสอนรายวิชา………………………. การบริการวิชาการ

การพัฒนาบุคลากร การวิจัยและ/ผลงานทางวิชาการ การทํานุบํารุงศิลปวัฒนธรรม การบริหารงานการพัฒนานักศึกษา อื่นๆโปรดระบุ เพื่อแก้ไขปัญหาอุปสรรคและแนวทางในการปฏิบัติงานระบบจ่ายตรงเงินเดือนและค่าจ้างประจำได้อย่างถูกต้อง และการดําเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ป้องกันและลดความเสี่ยงที่เกิดจากข้อผิดพลาดหรือความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้

ด้านสมรรถนะ

การสั่งสมความเชี่ยวชาญในอาชีพ

ด้านอื่น ๆ มีเครือข่ายและเพื่อนร่วมงานต่างหน่วยงาน

สามารถแลกเปลี่ยนเรียนรู้ช่วยเหลือซึ่งกันและกันในการปรึกษาเรื่องงาน

  (787)

การดูแลผู้ป่วยวิกฤต

การดูแลผู้ป่วยวิกฤต

แบบฟอร์มสำหรับส่งบทความเข้าคลังความรู้

 

วันที่บันทึก :  ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๗

ผู้บันทึกนางสาวจันทิมา ช่วยชุม

กลุ่มงาน :  วิชาการพยาบาลพื้นฐานและพื้นฐานวิชาชีพ

ฝ่าย :  พัฒนานักศึกษา

ประเภทการปฏิบัติงาน: ประชุม

วันที่   ๒๘ ถึง ๓๐ กรกฎาคม  ๒๕๕๗

หน่วยงาน/สถาบันที่จัด : วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ตรัง

สถานที่จัด :   ณ โรงแรมธรรมรินทร์ธนา จังหวัดตรัง

เรื่อง : การดูแลผู้ป่วยวิกฤต

รายละเอียด

ด้านเนื้อหาสาระ

การดูแลผู้ป่วยวิกฤตมีประเด็นปัญหาที่เกี่ยวข้อง ได้แก่

-          จำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้น

-    ผู้ป่วยวิกฤตต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิด และต้องพึ่งพาเทคโนโลยีสมัยใหม่มากขึ้น ต้องการบุคลากรที่มีความสามารถเฉพาะทาง

-          การมีหลักสูตรเฉพาะทางมากขึ้น ทำให้มีหัตถการต่างๆมากขึ้น

-          โรคติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น

-          จำนวนผู้ป่วยไม่ติดเชื้อมากขึ้น เช่น โรคหัวใจ หลอดเลือดสมอง

-          ภัยจากธรรมชาติเพิ่มขึ้น

-          มีการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงมากขึ้น

-          การปฏิรูประบบสุขภาพทำให้ประชาชนเข้าถึงบริการสุขภาพมากขึ้น

-          คนต่างด้าวเข้ามาอยู่ในเมืองไทยมากขึ้น

-          การเติบโตของการแพทย์เอกชน

เป้าหมายของการพยาบาลผู้ป่วยวิกฤต

-          เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลที่มีประสิทธิภาพ สามารถฟื้นฟูสภาพกลับมาได้ดีที่สุด ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ

-    เพื่อให้ผู้ป่วยและครอบครัวสามารถปรับตัว เผชิญกับความทุกข์ทรมาน (ร่างกาย จิตใจ อารมณ์ เศรษฐกิจ สังคม และจิตวิญญาณ)

-    ในกรณีที่ไม่สามารถช่วยชีวิตได้ต้องดูแลให้ไปอย่างสงบ สมศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ดูแลให้ครอบครัวสามารถเผชิญกับความสูญเสียได้อย่างเหมาะสม

 

Concepts ที่ใช้ในการพยาบาลผู้ป่วยวิกฤต ได้แก่

-          Synergy Model : โมเดลการประสานความร่วมมือ

: เป็นโมเดลที่เชื่อมโยง Practice กับ Patient outcome

: Model จะเชื่อมโยงคุณลักษณะของผู้ป่วยกับความสามารถของพยาบาล

: การมอบหมายงาน การมอบหมาย Case ที่วิกฤตที่สุดให้พยาบาลที่มีประสบการ์มากที่สุดเป็นผู้ดูแล

: ใช้ EBP เป็นแนวทางในการปฏิบัติการพยาบาล

: เป็น Model ที่สามารถประยุกต์ใช้ในการดูแลผู้ป่วยวิกฤตได้ทุกลักษณะของโรคและความเจ็บป่วย

-          FASTHUG and BANDAIDS

  1. Feeding : เริ่ม feed ให้เร็วที่สุด
  2. Analgesia : ประเมินความปวดให้ได้และควบคุมให้ได้
  3. Sedation : การให้ยาระงับประสาท
  4. Thromboembolic prevention : การป้องกันการเกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำ
  5. Head of the bed evaluation : การปรับเตียงให้หัวสูง
  6. Stress ulcer prophylaxis : การให้ยาป้องกันเลือดออกในกระเพาะอาหาร
  7. Glucose control : ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในช่วง 80-200 mg%
  8. Bowels address ; ดูแลเรื่องการขับถ่ายเพื่อลดของเสียคั่ง
  9. Increased daily activity : ส่งเสริมการเคลื่อนไหว
  10. Night time rest : ดูแลเรื่องการนอนหลับ
  11. Disability prevention and discharge planning : การป้องกันโรคแทรกซ้อนและการวางแผนจำหน่าย
  12. Aggressive alveolar maintenance : การปกคลุมถุงลมในปอด
  13. Infection prevention : การป้องกันการติดเชื้อ
  14. Delirium assessment and treatment : การประเมินและการจัดการภาวะสับสนเฉียบพลัน
  15. Skin and spiritual care : การดูแลผิวหนังและการดูแลมิติจิตวิญญาณ

-          End of life care

-          Ethical issues

Assessment and Monitoring

Assessment

 

 

Pre-arrival

 

 

Admission Quick Check

 

 

Comprehensive Admission Assessment

 

 

Ongoing Assessment

เครื่องมือที่ใช้ใน Assessment ได้แก่

  1. APACHE II, APACHE IV
  2. FANCAS : F = Fluid balance; A = Aeration; N = Nutrition; C = Communication; A = Activities; S = Stimulation

 

Monitoring

                             Hemodynamic                                         Respiratory

 

EKG              BP              CVP          PA            Bedside clinical  Oxygenation  Ventilation

 

การดูแลผู้ป่วยที่มีภาวะ Shock

 

 

 

Principles of Shock Management

  • Improve oxygen delivery to prevent cellular and tissue injury
  • Restoration of perfusion to achieve adequate blood pressure, cardiac output
  • Correction of etiology

Monitoring of Shock Management

  1. Clinical Manifestations
  • Mental status
  • Blood pressure
  • Heart rate
  • Jugular venous pressure
  • Urine output
  1. Invasive Monitoring
  • Central venous pressure : CVP
  • Central venous oxygen saturation : ScvO2
  • Pulmonary capillary wedge pressure : PCWP
  • Systemic vascular resistance  : SVR
  • Cardiac output/ Cardiac index : CO/CI

การดูแลผู้ป่วยที่มีภาวะ Sepsis (2012) แบ่งเป็น

1. 3-HOUR RESUSCITATION BUNDLE

a. Draw lactate

b. 2 sets of hemocultures      : within 45 minutes

c. Broad spectrum antibiotics : within 1 hour

d. At least 30 mL/Kg crystalloid fluid challenge

2. 6-HOUR RESUSCITATION BUNDLE

a. Vasopressor : keep MAP ≥ 65mmHg

(if goals not met by fluid challenge, NE is drug of choice.)

b. Persistent hypotension or initial lactate ≥ 4 mmol/L:

i. CVP :   8‐12 mmHg

: 12‐15 mmHg

for patients with mechanically‐ventilation or

↑ intraabdominal pressure due to cardiac filling impediment

ii. ScvO2: goal ≥ 70% (or, SvO2 ≥ 65%)

c. Re‐measure lactate: goal is normalizing lactate

d. Urine Output ≥ 0.5 mL/Kg/hr

เครื่องมือที่ใช้ในการ Early detection ได้แก่

  1. Modify Early Warning Score (MEWS) : ประเมิน SBP; HR; RR; Body Temp; Conscious โดยประเมินการเบี่ยงเบนไปจากเกณฑ์ 0
  2. National Early Warning Score (NEWS)

สรุปเนื้อหาจากการเรียนรู้ด้านใด

วิชาการ

วิชาชีพ

ความรู้ที่ได้นำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนางานของตนเอง

ด้านการนำผลการพัฒนาไปประยุกต์ใช้กับงาน

การนำเนื้อหาความรู้และแนวปฏิบัติที่ทันสมัยเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยวิกฤตมาใช้ประกอบการจัดการเรียนการสอนทั้งในภาคทฤษฎีและการขึ้นฝึกปฏิบัติงานในภาคปฏิบัติเพื่อเกิดประโยชน์สูงสุดแก่นักศึกษาและหอผู้ป่วยที่ขึ้นฝึกปฏิบัติงานต่อไป

การพัฒนาตนเองและวิชาชีพให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ขององค์กรที่ว่าได้คุณภาพตามมาตรฐานสากล

ด้านการนำผลการพัฒนาไปใช้ประโยชน์

การเรียนการสอน

การพัฒนาบุคลากร

ด้านสมรรถนะ

การพัฒนาด้านความรู้และความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยวิกฤต

การสร้างเครือข่ายกับเพื่อนร่วมวิชาชีพและทีมสหสาขาวิชาชีพ

  (6452)

การประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่อง “การพัฒนาการสอนโดยใช้ Simulation-Based Learning (SBL)

การประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่อง “การพัฒนาการสอนโดยใช้ Simulation-Based Learning (SBL)

แบบฟอร์มสำหรับส่งบทความเข้าคลังความรู้

 

วันที่บันทึก :  ๑๓  สิงหาคม ๒๕๕๗

ผู้บันทึกนางสาวอรุณรัตน์ โยธินวัฒนบำรุง  นางสาววรนิภา กรุงแก้ว นางสาวจันทิมา ช่วยชุม  นางสาวนภาวรรณ วิริยะศิริกุล

นางจิตฤดี รอดการทุกข์ และดร.จามจุรี แซ่หลู่

กลุ่มงาน :  การพยาบาลเด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ  

ฝ่าย พัฒนานักศึกษา

ประเภทการปฏิบัติงาน: ประชุม

วันที่   ๖ – ๘  สิงหาคม ๒๕๕๗   

สถานที่จัด :   ณ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุพรรณบุรี

เรื่อง : การประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่อง “การพัฒนาการสอนโดยใช้ Simulation-Based Learning (SBL)

รุ่นที่ ๒”

 รายละเอียด

๑.๑ ด้านเนื้อหาสาระ

การจัดการเรียนการสอนโดยใช้ SBL เป็นกระบวนการที่ผู้สอนใช้ในการช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ที่กำหนด โดยให้ผู้เรียนลงไปเล่นในสถานการณ์ที่มีบทบาท ข้อมูล และกติกาการเล่นที่สะท้อนความเป็นจริง และมีปฎิสัมพันธ์กับสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ในสถานการณ์นั้น ๆ โดยใช้ข้อมูลที่มีสภาพคล้ายกับข้อมูลในความเป็นจริง ในการตัดสินใจและแก้ปัญหาต่าง ๆ ซึ่งการตัดสินใจนั้นจะส่งผลถึงผู้เล่นในลักษณะเดียวกันที่เกิดขึ้นในสถานการณ์จริง มีหลายรูปแบบ ดังนี้

๑. การใช้สถานการณ์เป็นหลัก  (paper based scenario) เป็นการเรียนโดยการประยุกต์การเรียนโดยใช้บทเรียนที่มีปัญหาเป็นหลัก  ปัญหาที่พบ ผู้เรียนไม่ได้สนใจปัญหาที่เกิดขึ้นจริง จะมุ่งแก้ปัญหาตามบทเรียนที่มีให้จึงเหมาะเป็นบางวิชา

๒. การแสดงบทบาทสมมติ (Role play) การสอนด้วยบทบาทสมมติเหมือนสถานการณ์จริง จะประกอบด้วยการที่กลุ่มนักศึกษาเขียนบทการแสดงและมอบหมายบทบาทหน้าที่ของแต่ละคน เช่น พยาบาล ผู้ป่วย และผู้เรียน ๒ ใน ๓ เป็นผู้สังเกตพฤติกรรม ผู้สอนต้องควบคุมห้องเรียนโดยให้ผู้เรียนทุกคนสนใจบทบาทที่เพื่อนแสดง การสอนแบบนี้เหมาะกับการสอนเทคนิคการสื่อสาร หรือสอนผู้ป่วยก่อนกลับบ้าน

๓. Single task trainer เป็นการฝึกทีละวิธีการ เป็นการสอนที่ผู้สอนจะต้องปูพื้นฐานให้ผู้เรียนมีความรู้ครบถ้วนในกิจกรรมเฉพาะและมีการสาธิต และสาธิตย้อนกลับโดยการฝึกทีละวิธีการหรือกิจกรรม

๔. Desk/Table top exercise การประชุมหารือเชิงปฏิบัติการ เป็นการที่ผู้เรียนได้ฝึกการแก้ปัญหาสถานการณ์ที่สำคัญของหน่วยงานหรือประเทศที่มีการสูญเสียทางเศรษฐกิจจะส่งผลต่ออัตราการเสียชีวิต

๕. Manniequin based (หุ่นมนุษย์จำลอง)  เป็นการสอนที่ผู้สอนให้ผู้เรียนได้ฝึกในสถานการณ์ต่างๆกับหุ่นจำลองที่ผู้สอนได้จำลองสถานการณ์คล้ายกับผู้ป่วยจริง

๖. Manniequin total immession (หุ่นมนุษย์จำลองแบบครบในทางการแพทย์)  เป็นการสอนที่ผู้สอนสามารถให้ผู้เรียนได้เรียนรู้การแสดงอาการของผู้ป่วยในหลายระบบพร้อม ๆ กัน

๗. Environment เป็นการสอนที่จัดสิ่งแวดล้อมให้เสมือนจริง เช่น เป็นการสอนที่มีการจำลองคล้ายกันในหอผู้ป่วย ผู้ป่วยรวมหลายเชื้อชาติ หลายโรค ให้ผู้เรียนฝึกการดูแล บริหารจัดการในหอผู้ป่วย

๘. Virtual reality ระบบเสมือนจริง เป็นการสอนที่ใช้ประโยชน์จากการสร้างสื่อผสม ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเองหรือเป็นกลุ่มได้ โดยนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ สามารถเคลื่อนย้าย โต้ตอบในสิ่งแวดล้อมมีที่แสดงหรือดูในรายละเอียดได้

แนวคิด

          การจัดการเรียนการสอนโดยใช้ SBL ประยุกต์แนวคิดการฝึกทักษะ (Skills Acquisitions) โดยเริ่มจากบรรยาย เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ เรียนรู้และฝึกทักษะจากสถานการณ์จำลอง ก่อนขึ้นฝึกปฏิบัติในหอผู้ป่วยทั้งนี้เพื่อให้ผู้เรียนเกิดความมั่นใจ และลดภาวะความเครียด ความวิตกกังวลก่อนขึ้นฝึกปฏบัติบนหอผู้ป่วยจริง ดังแผนภาพ

Knows : Knowledge ความรู้จากการ lecture การบรรยาย [  Know How ความรู้จากการกระทำ กรณีศึกษา สัมมนา  [   Show How ความรู้จากการเรียนรู้สถานการณ์เสมือนจริง   [   Dose ความรู้จากการลงมือปฏิบัติ

เหตุผลที่จัดการเรียนการสอนโดยใช้ SBL

          ๑. Safety เพื่อให้เกิดความปลอดภัยกับผู้ป่วย ก่อนที่จะปฏิบัติจริงต้องฝึกฝนจนผู้เรียนเกิดความมั่นใจ การทำกับหุ่นสามารถทำซ้ำและหยุดได้เป็นช่วงๆ และยังช่วยฝึกการปรับตัวก่อนเผชิญกับสถานการณ์จริงในเรื่องของความตึงเครียด และกดดัน เป็นต้น

          ๒. Experience เป็นการเพิ่มทักษะให้กับผู้เรียน เพื่อไม่ให้เกิดความกลัว ความตื่นตระหนก ร้องไห้ และความเครียด เช่น การฝึกของนักบิน ก่อนการบิน เพื่อให้เกิดทักษะและสามารถเผชิญกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้

          ๓. Practice การฝึกต้องใส่เครื่องแบบเพื่อแสดงความเป็นวิชาชีพ และเพื่อให้ผู้เรียนมีการเตือนตัวเองว่าจะทำอะไรต้องคำนึงถึงวิชาชีพ และให้ผู้เรียนดึงความรู้ที่เรียนออกมาใช้

          ๔. Benefits การฝึกทำกับหุ่น สามารถหยุดและให้ข้อเสนอแนะ และเริ่มทำซ้ำใหม่ได้อันจะทำให้เกิดประโยชน์ในการเรียนรู้ของผู้เรียน

 ความคาดหวังจากการใช้หุ่น (Expectation simulation) มีเป้าหมาย ดังนี้

          ๑. ให้ผู้เรียนตระหนักรู้ถึงอาการแสดงที่เปลี่ยนไปของผู้ป่วยในทางที่แย่ลง

          ๒. การประเมินสภาพโดยใช้ ABCDE เป็นกรอบแนวคิดในการประเมิน  A = Airway  B = breathing C = Circulation   D = disability   E = Exposure       

๓. การรายงานผลและส่งต่อ โดยใช้เครื่องมือ SBAR (SBAR Tool)

Simulation technology

          ๑. SMOT โดยการสังเกตผ่านวีดีโอ เพื่อดูพฤติกรรมของผู้เรียนว่าสามารถทำได้ดีหรือต้องมีข้อแก้ไข โดยจะมีกลุ่มที่สังเกตพฤติกรรมและสะท้อนพฤติกรรมกลุ่มที่แสดงบทบาทที่อยู่ในห้อง Simulation

          ๒. Patient simulator

ขั้นตอนการสอนโดยใช้สถานการณ์เสมือนจริง (Simulation delivery)

          การสอนสถานการณ์จำลองเสมือนจริง ประกอบด้วย ๓ กิจกรรม ดังนี้

          ๑. Pre-Brief (๒๐ นาที)   เป็นขั้นตอนการเตรียมการ / แนะนำ  โดยผู้สอนจะบอกวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการเรียนการสอน การเตรียมตัว บอกบทบาทของผู้เรียน และผู้สอน และการเชื่อมโยงก่อนเข้าสู่บทเรียนโดยการเล่าหรือการแลกเปลี่ยนประสบการณ์จริงที่พบในผู้ป่วย

วัตถุประสงค์

          ๑. เพื่อทบทวน หาข้อสรุปในประเด็นการทำ pre – brief โดยต้องชัดเจนเรื่องวัตถุประสงค์ ความคาดหวังของผู้สอนและบทบาทของผู้เรียน

          ๒. ทบทวนเนื้อหาและประเด็นโครงสร้าง (องค์ประกอบของการทำ pre – brief)

          ๓. ทบทวนกระบวนการทำ pre –brief

          ๔. การเตรียมร่างกายของการทำ pre – brief  เตรียมเครื่องมือ อุปกรณ์

ขั้นตอนการทำ pre – brief ประกอบด้วย

๑. การวางแผน : สิ่งที่ควรคำนึงก่อนทำการสอน

              – Participant  ผู้เรียนก่อนสอนต้องรู้ เขาเป็นใคร ทำอย่างไร ระดับชั้นปีอะไร มีประสบการณ์การเรียนรู้อย่างไร เพื่อเลือกวิธีการจัดการเรียนการสอนโดย Simulation

              – สิ่งแวดล้อม เวลาในช่วงไหนที่จะทำ , Ward, ICU, ER

              – อุปกรณ์ เครื่องมือ ตามประเภทของ  Simulation ให้เพียงพอ

          สิ่งที่ควรจะพิจารณา

              – ในแต่ละกลุ่มควรจะวางแผนขั้นตอนการทำ pre – brief

              – คำนึงถึงความเป็นวิชาชีพและประสบการณ์ที่ควรได้รับ

              – ควรจะทำว่า เขาเป็นใครและเป็นอย่างไร

              – นักศึกษาเป็นใคร ชั้นปีอะไร มีความรู้ ประสบการณ์, Learning style

              – จะสอนนักเรียนด้วยวิธีการอย่างไร

          ๒. บทบาท  : ผู้อำนวยความสะดวก (Facilitator)   ผู้ให้คำปรึกษา (mentor)   ผู้เรียน (Student)

          ๓. สิ่งแวดล้อม : ห้อง simulation  ห้องสังเกตการณ์ (Observation room)

          ๔. อุปกรณ์  : เครื่องวัดความดันโลหิต ออกซิเจน โทรศัพท์

 ๒. Scenario (๒๐ นาที)   การปฏิบัติตามที่มีในสถานการณ์

การออกแบบและการเขียน Scenario

          ๑. การกำหนดวัตถุประสงค์ เพื่อคาดหวังว่าบทเรียนนี้จะให้ผู้เรียนได้รับความรู้เรื่องอะไร ซึ่งต้องเขียนให้ชัดเจนว่าต้องการให้เกิดอะไร ระดับไหน

          ๒. ผลลัพธ์ของการเรียนรู้ ผู้เรียนจะต้องแสดงออกหรือมีความสามารถอะไรเมื่อสิ้นสุดในการเรียน เช่น สามารถประเมินได้ สามารถแก้ไขปัญหาได้

          ๓. ระดับความซับซ้อนของ Scenario ประกอบด้วย

             – ระดับง่าย (simple)  สถานการณ์ที่แสดงลักษณะการเปลี่ยนแปลงเพียงอย่างเดียวและมีการตอบสนอง

             – ระดับปานกลาง (Moderately difficult) แสดงลักษณะการเปลี่ยนแปลงในทางที่แย่ลงและมีอาการดีขึ้น

             – ระดับซับซ้อน (Complex) มีอาการเปลี่ยนแปลงเริ่มต้น และมีอาการเปลี่ยนแปลงที่ตอบสนองต่อการรักษา

          ๔. การวินิจฉัยโรคจากสถานการณ์ อาจใช้ผล X-ray, scans, ผลการตรวจเลือด, ข้อมูลจากไฟล์ สื่อต่าง ๆ เสียงต่าง ๆ , ผล EKG และสามารถใส่ไฟล์ข้อมูลได้

          ๕. ต้องเลือกรูปแบบการ De – brief ให้เหมาะสม

          ๖. การเขียน Scenario

             – จะต้องมีข้อมูลที่เพียงพอ บอกสถานการณ์ผู้ป่วยให้นักศึกษารู้

             – จัดบริบทของ Scenario ให้เหมาะสมและชัดเจน

             – ให้นักศึกษารับรู้เวลาในการทำ Scenario เช่น เริ่มต้นสถานการณ์

          ๗. อุปกรณ์และเครื่องมือ   ต้องเตรียมให้เหมาะสมกับกิจกรรมที่นักศึกษาจะต้องปฏิบัติ และส่งเสริมให้มีโอกาสในการตัดสินใจและเลือดใช้อุปกรณ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์

          ๘. บทบาท

             บทบาทผู้เรียน ต้องกำหนดให้ชัดเจนว่า นักศึกษาอยู่ในสถานการณ์นี้อยู่ในบทบาทอะไร เช่น Register nurse เป็นต้น

             บทบาท Facilitator เป็นผู้เอื้ออำนวยการในการให้นักศึกษาปฏิบัติในสถานการณ์ จะต้องดูแลและคอยสังเกตดูนักศึกษา ถ้านักศึกษาทำไม่ได้ต้องให้การช่วยเหลือ

          ๓. Debrief (๓๐ นาที)   การประเมินการเรียนรู้ของนักศึกษาทั้ง ๓ ระยะ คือ

             ระยะที่ ๑ Descriptive phase ให้ผู้เรียนบอกความรู้สึกว่ารู้สึกอย่างไรกับสถานการณ์

             ระยะที่ ๒ Analysis phase ผู้สอนจะเป็นผู้บอกข้อดี และข้อบกพร่อง โดยต้องไม่ให้ผู้เรียน

รู้สึกผิดและใช้การเสริมแรงทางบวก เพื่อให้ผู้เรียนเกิดกำลังใจ

             ระยะที่ ๓ Application phase การนำไปใช้ในสถานการณ์จริง โดยต้องเน้นย้ำให้ผู้เรียน

ตระหนักถึงคุณธรรม จริยธรรม (etiquette) ในการปฏิบัติกับหุ่น โดยคำนึงถึง

- การเคารพ ในการปฏิบัติกับหุ่นให้เสมือนกับการปฎิบัติผู้ป่วยจริง

- การทำงานเป็นทีม ต้องพยายามดึงผู้เรียนที่ไม่กล้าแสดงออกให้เข้ามา ส่วนผู้เรียนที่คอยชี้นำกลุ่มให้ดึงออกไปจากลุ่ม

หลักการในการทำ Debrief โดยใช้หลัก ๖ PA (Performance Agreement)  ได้แก่

          Immediate Phase       ขั้นตอนการประเมินและระบุปัญหาที่พบ

          Planning Phase          การวางแผนว่า ใครควรทำอะไร ตามบทบาทหน้าที่อะไร

          Assessment Phase      การประเมินสภาพ และการระบุปัญหา

          Action Phase             การลงมือปฏิบัติ เช่น การให้เลือด ให้ยา เป็นต้น

          Maintenance Phase    ดูผลการประเมิน เช่น การให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ  ให้ออกซิเจน ถ้าผล

การประเมินดี ให้คงสภาพดังกล่าวไว้ หรืออาจมีการปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม

Deterioration Phase    วิเคราะห์ประเมินคุณภาพ หากไม่ได้ผลเป็นไปตามที่กำหนดไว้ ให้กลับไปประเมินขั้นต้นใหม่

การประเมินการเรียนรู้ในสถานการณ์จำลอง

          ๑. สิ่งที่ต้องประเมินคืออะไรบ้าง   

                   – เทคนิคการปฏิบัติงานในคลินิก เช่น การประเมินสภาพผู้ป่วย การสังเกตอาการและอาการแสดงของผู้ป่วย

                   – Human factors ปัจจัยทางบุคคล เช่น การสื่อสาร การทำงานเป็นทีม ภาวะผู้นำ

                   – การตัดสินใจและการใช้เหตุผลทางคลินิก

                   – ประเมินความรู้และการใช้ความรู้

๒. ประเมินเมื่อใด

          – ประเมินในขณะที่อยู่ในสถานการณ์จำลอง

          – ประเมินภายหลังสถานการณ์จากการบันทึกวิดีโอ

          – ประเมินโดยการซักถาม

๓. ประเมินอย่างไร

          – Checklist

          – Global rating

          – Rubics

มาตรฐานการประเมิน

          ๑. นักศึกษาจะต้องมีสถานการณ์ที่เหมือนกัน เครื่องมือ ความซับซ้อนของโจทย์เหมือนกัน

          ๒. โจทย์สถานการณ์อาจมีความแตกต่างกัน

          ๓. ใช้การประเมินโดยใช้วิธีการผ่าน / ตก

          ๔. หุ่นจะต้องมีควบคุมให้ได้มาตรฐานเดียวกัน แตกต่างกันได้ไม่เกิน ๑๐%

          ๕. ต้องมีแผนผังห้องสถานการณ์จำลอง

          ๖. ต้องมีแนวทางและคำแนะนำให้กับนักศึกษา

          ๗. มีการสนับสนุนอื่น ๆ เช่น ป้ายขั้นตอนการประเมิน SBAR, การประเมิน ABCD

การเตรียม

          ๑. แบบประเมินต้องมีคุณภาพ (ความเที่ยงและความตรง)

            ความตรง

                   – ประเมินได้จากเครื่องมือ เช่น การทำงานเป็นทีม สามารถวัดได้โดยใช้กระบวนการกลุ่ม

                   – ประเมินโดยตรงจากการนำไปใช้กับผู้ป่วย ญาติ

            ความเที่ยง

                   – ผู้ประเมินแต่ละคนจะต้องประเมินการปฏิบัติของนักศึกษาได้เหมือนกัน เป็นแนวทางเดียวกัน

                    – การวัดซ้ำของผู้วัดแต่ละคน ต้องมีความเหมือนกัน หรือใกล้เคียงกัน สามารถหาความเชื่อมั่นได้ โดยประเมินจากการดูวิดีโอ จะต้องมีการประเมินหรือให้คะแนนที่เหมือนกัน

          ๒. นักศึกษารับรู้การประเมินล่วงหน้า (No Surprises)

          ๓. ระบุเกณฑ์ในการวัดประเมินผลไว้อย่างชัดเจน

          ๔. ผู้เรียนมีโอกาสฝึกปฏิบัติมาก่อน รวมทั้งการฝึกปฏิบัติอย่างอิสระ

          ๕. ระบุการประเมินผลทุกชนิดที่ผู้เรียนจะถูกประเมิน

          ๖. ผู้เรียนได้รับเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการประเมินครบถ้วน รวมทั้ง charts, scenarios  เป็นต้น

ข้อควรคำนึงในการประเมินผล

          ความผิดพลาดสามารถเกิดขึ้นได้ : หากผู้เรียนทราบว่า ปฏิบัติผิดพลาด และระบุได้ ควรได้รับโอกาสแก้ไขให้ถูกต้อง ได้รับโอกาสขอเริ่มต้นสอบใหม่

          ความผิดพลาดไม่ได้เป็นอันตรายต่อผู้ป่วยเสมอไป : หากผู้เรียนอธิบายความเสี่ยง/อันตรายได้ถูก ต้องควรให้การปฏิบัติดำเนินได้ต่อไป

ทักษะการ Facilitation simulation skills

          วัตถุประสงค์ คือ กำหนดบทบาทในการทำ simulation  ซึ่งประกอบด้วย บทบาทที่สำคัญ ๓ อย่าง คือ facilitator, participant /team, และ observer

บทบาทของผู้เรียน (participant/team)

          – การทำงานสอดคล้องกันหรือไม่

          – มีคนที่ทำหน้าที่ช่วยเหลืออย่างเดียวหรือไม่

          – มีคนทำหน้าที่คิดอยู่อย่างเดียวหรือไม่

          – มีการปฏิบัติหลาย ๆ ทักษะเข้าด้วยกันหรือไม่ อย่างไร

          – มีการสื่อสารทั้งวัจนภาษา หรืออวัจนภาษา หรือไม่อย่างไร

          – มีการเคารพซึ่งกันและกันหรือไม่

          – มีการเสนอความคิดร่วมกันหรือไม่

          – มีการปฏิบัติ โดยร่วมกันคิดเป็นความเห็นของกลุ่มหรือไม่ อย่างไร

          – ผู้เรียนที่ผ่านการทำ simulation มีการคาดการณ์ถึงความถูกต้อง หรือแย่ลงหรือไม่ อย่างไร

บทบาทของผู้สอน (Facilitator)

          – มีการกระตุ้นกลุ่มหรือไม่ อย่างไร ทำให้กลุ่มเกิดความมั่นใจหรือไม่อย่างไร

          – มีการรบกวน หรือขัดขวางการทำงานของทีมหรือไม่อย่างไร

          – ผู้ที่เป็น facilitator มีประโยชน์มากน้อยเพียงใด

          – มีการเสริมแรง ให้กำลังใจหรือไม่ อย่างไร หรือให้ข้อเสนอแนะที่ชัดเจนหรือไม่

          – มีการหยุดเกม time out หรือไม่ หรือทำกี่ครั้ง

          – ขณะดำเนินการอภิปรายกลุ่มมีความปลอดภัย หรือไม่ มีสิ่งที่ท้าทายต่าง ๆ หรือไม่

- มีการให้ข้อเสนอแนะ หรือให้คำแนะนำหรือไม่

- มีการคิดก่อนให้ข้อเสนอแนะต่อกลุ่มหรือไม่

- เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติตามที่ได้เรียนผ่านมาแล้ว มีทักษะมาก่อนหรือนำความรู้มาปฏิบัติเพียงใด

ทั้งนี้บทบาทของ Facilitator อาจมีหลายรูปแบบ เช่น

- ให้คำแนะนำระหว่างแสดงสถานการณ์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ หรือขัดขวางการเรียนรู้

- ปรับบทบาทตามสถานการณ์ที่เหมาะสมต่อผู้เรียนเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ให้มากขึ้น

- คิดถึงผลลัพธ์การเรียนรู้ หรือวัตถุประสงค์การเรียนรู้

อย่างไรก็ตาม บทบาทของ facilitator จะต้องใช้หลายๆ  ทักษะ เช่น ทักษะการสื่อสารเพื่อเอื้อให้ผู้เรียนปฏิบัติได้ หรือคอยช่วยเหลือกรณีผู้เรียนไม่ชอบการฝึกโดยใช้รูปแบบนี้

บทบาทของผู้สังเกตการณ์ (Observer)

          – สังเกตการณ์แบ่งงานในกลุ่มอย่างไร ใครเป็นผู้เรียน ผู้สอน

          – มีใครกลัวการเล่นหรือไม่ แสดงออกอย่างไร

          – มีการแก้ปัญหาหรือไม่ เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายต่อกลุ่มอย่างไร

          – มีการปฏิบัติเพื่อการช่วยเหลืออย่างไร

          – การแสดงเป็นไปตามวัตถุประสงค์การเรียนรู้หรือไม่

          – กลุ่มมีการจัดการอย่างไรในผู้ที่มีอารมณ์โกรธ ไม่อยากทำ

          – ผู้เรียนมีความแตกต่างของความรู้กับสิ่งที่ต้องปฎิบัติหรือไม่ อย่างไร

          – บางครั้งกลุ่มอาจไม่สามารถแสดงการดูแลได้อย่างเหมาะสม เนื่องมาจากขาดการเตรียมการของผู้สอน

          การเรียนรู้จากสถานการณ์จำลอง เป็นการเรียนรู้ที่ซับซ้อนหลากหลาย เพราะการเรียนรู้จากสถานการณ์จำลอง สามารถกลับมาทำซ้ำได้ จากสภาพการเรียนรู้และจากปัญหาที่เกิดขึ้นในระหว่างที่เรียน อาจกล่าวได้ว่า ผู้เรียนจะถูกคาดหวังในการประเมินผลการปฏิบัติงานเช่นเดียวกับในสภาพการณ์จริง การจัดสิ่งแวดล้อมที่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ป่วยเป็นหลัก และเพิ่มความสามารถของผู้เรียนโดยให้มีการปฏิบัติงานซ้ำ จนผู้เรียนสามารถมีความรู้และทักษะที่พร้อมจะปฏิบัติงานในสถานการณ์จริงได้

สรุปเนื้อหาจากการเรียนรู้ด้านใด

          วิชาการ

 

ความรู้ที่ได้นำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนางานของตนเอง

       ด้านการนำผลการพัฒนาไปประยุกต์ใช้กับงาน

- พัฒนาการเรียนการสอน โดยการใช้สถานการณ์จริงกับหุ่นจำลอง (simulation) ในการช่วยเหลือผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะวิกฤตและฉุกเฉิน   รายวิชา การพยาบาลบุคคลที่มีปัญหาสุขภาพ ๑, ๓  ทั้งภาคทฤษฎี  และภาคปฏิบัติ

          – ฝึกการเขียนสถานการณ์  โดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย (หุ่น Sim)

          – พัฒนาการจัดการเรียนการสอนให้เป็นงานวิจัยในชั้นเรียน หรือ เขียนเป็นตำรา ผลงานทางวิชาการ

       ด้านการนำผลการพัฒนาไปใช้ประโยชน์

การเรียนการสอน

การวิจัยและ/ผลงานทางวิชาการ

      ด้านสมรรถนะ

การวางแผนการจัดการเรียนการสอนในรายวิชาที่รับผิดชอบ

 

 

  (3571)