อบรมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง คุณภาพงานเยี่ยมบ้าน : กลยุทธ์ Service Plan

อบรมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง คุณภาพงานเยี่ยมบ้าน : กลยุทธ์ Service Plan

 

วันที่บันทึก 26 พ.ค. 2557

ผู้บันทึกนายสิงห์    กาญจนอารี   /    นางนรานุช   ขะระเขื่อน
กลุ่มงาน
กลุ่มวิขาการพยาบาลอนามัยชุมชน
ฝ่าย
วิชาการ
ประเภทการปฏิบัติงาน (เช่น ประชุม อบรม ฯลฯ)
อบรมเชิงปฏิบัติการ

วันที่  21 พ.ค. 2557      ถึงวันที่  23 พ.ค. 2557
หน่วยงาน/สถาบันที่จัด
สำนักการพยาบาล  กระทรวงสาธารณสุข
สถานที่จัด
โรงแรมมิราเคิล แกรนด์  คอนเวนชั่น  กรุงเทพมหานคร
เรื่อง
: อบรมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง คุณภาพงานเยี่ยมบ้าน : กลยุทธ์ Service Plan

รายละเอียด  

                1. นโยบาย Service Plan   :  มีวัตถุประสงค์ 3 ประการคือ

1.1 เพื่อกำหนดทิศทางการพัฒนาและออกแบบระบบบริการสุขภาพในส่วนภูมิภาคทั้งระบบ

ให้มีขีดความสามารถที่จะรองรับความท้าทายและบริบทที่เปลี่ยนแปลงในอนาคตได้

1.2  เพื่อจัดทำแผนพัฒนาระบบบริการเป็นเครือข่ายให้สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาดังกล่าว

โดยสอดประสานกันทั้งด้านโครงสร้าง บุคลากร และคุณภาพบริการ

1.3 ริเริ่มและขยายสถานบริการที่จำเป็น ตลอดจนการปรับปรุง หรือเสริมสร้างศักยภาพของ

สถานบริการสาธารณสุขในส่วนภูมิภาคให้เป็นไปตามแผนพัฒนาเครือข่ายบริการ

              2. กรอบแนวคิดของ Service Plan  

2.1  จัดระบบบริการสุขภาพในรูปแบบเครือข่ายแทนการขยายโรงพยาบาลเป็นแห่งๆ  โดยใช้

หลักการ“เครือข่ายบริการที่ไร้รอยต่อ”ที่สามารถเชื่อมโยงบริการ ระดับปฐมภูมิ ทุติยภูมิและตติยภูมิเข้าด้วยกัน

2.2 แต่ละจังหวัดจะต้องมี “เครือข่ายบริการระดับจังหวัด” ที่สามารถรองรับการส่งต่อตาม

มาตรฐานระดับจังหวัดได้อย่างสมบูรณ์  อย่างน้อย ๑ เครือข่าย โดยเครือข่ายจะต้องพัฒนาประสิทธิภาพการให้บริการของเครือข่ายให้สูงขึ้นตามมาตรฐานที่กำหนด ทั้งนี้การบริหารเครือข่ายให้ดำเนินการในรูปของคณะกรรมการ

2.3    ให้มีการจัด“ระดับโรงพยาบาลรับผู้ป่วยส่งต่อ” ของระบบบริการเป็น ๓ ระดับ ได้แก่

ระดับต้น ระดับกลาง และระดับสูง เพื่อใช้ทรัพยากรภายในเครือข่ายที่มีอย่างจำกัดให้มีประสิทธิภาพสูงสุด หลีกเลี่ยงการลงทุนที่ซ้ำซ้อน และขจัดสภาพการแข่งขันกัน

3. งานเยี่ยมบ้าน ที่ตอบสนอง Service Plan  มีเป้าหมายในการ ลดอัตราป่วย เข้าถึงบริการ มีมารตฐานการบริการ ลดอัตราตาย ลดความแออัด และลดค่าใช้จ่าย  ครอบคลุม 10 สาชา คือ

1). สาขาหัวใจ

2).สาขามารดาและทารก

3).สาขามะเร็ง

4).สาขาอุบัติเหตุ

5). สาขาตา/ไต

6). สาขาจิตเวช

7). สาขาหลัก 5 สาขา(สูติ ศัลย์ อายุรกรรม กุมารฯ Ortho)

8). สาขาทันตกรรม

9). สาขาบริการปฐมภูมิ ทุติยภูมิ และสุขภาพองค์รวม

10). สาขาโรคไม่ติดต่อ(NCD)

 

 ความรู้ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการปฏิบัติงาน

                สอน/นิเทศ นักศึกษา ให้ทราบถึงนโยบาย Service Plan  โดยเน้นกิจกรรมเยี่ยมบ้าน ที่มีคุณภาพ เพื่อเป้าหมาย ลดอัตราป่วย เข้าถึงบริการ มีมาตรฐานการบริการ ลดอัตราตาย ลดความแออัด และลดค่าใช้จ่าย 

ความรู้ที่จะนำไปพัฒนาต่อ

                นำนโยบาย Service Plan   ลงสู่การปฏิบัติ และสร้างนวัตกรรม การเยี่ยมบ้าน ในแบบ บูรณาการโดยใช้แนวคิดครอบครัวเดียวกันเป็นฐาน (401)

การประชุมเชิงปฏิบัติการพัฒนาศักยภาพอาจารย์ในการจัดการเรียนการสอนโดยใช้ปัญหาเป็นหลัก (PBL) สำหรับวิทยาลัยสังกัดสถาบันพระบรมราชชนก

การประชุมเชิงปฏิบัติการพัฒนาศักยภาพอาจารย์ในการจัดการเรียนการสอนโดยใช้ปัญหาเป็นหลัก (PBL) สำหรับวิทยาลัยสังกัดสถาบันพระบรมราชชนก

แบบฟอร์มสำหรับส่งบทความเข้าคลังความรู้

 

วันที่บันทึก :  ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๗

ผู้บันทึกนางสาววรนิภา กรุงแก้ว  นางเกษรา  วนโชติตระกูล  นางวันดี  แก้วแสงอ่อน นางจันทิมา  ช่วยชุม นางพิมพวรรณ เรืองพุทธ  และนางสาวจามจุรี  แซ่หลู่

กลุ่มงาน :  กลุ่มวิชาการพยาบาลพื้นฐานและพื้นฐานวิชาชีพ และกลุ่มการพยาบาลเด็ก ผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุและบริหารการพยาบาล

ฝ่าย :  ฝ่ายวิชาการ

ประเภทการปฏิบัติงาน:

วันที่   ๑๔– ๑๖  เดือน พฤษภาคม  พ.ศ. ๒๕๕๗

หน่วยงาน/สถาบันที่จัด :

สถานที่จัด :   ณ โรงแรมริเวอร์ไรน์เพลส จ.นนทบุรี

เรื่อง : การประชุมเชิงปฏิบัติการพัฒนาศักยภาพอาจารย์ในการจัดการเรียนการสอนโดยใช้ปัญหาเป็นหลัก (PBL) สำหรับวิทยาลัยสังกัดสถาบันพระบรมราชชนก

รายละเอียด

ปัจจุบันได้มีการพัฒนาหลักสูตร  และปฏิรูป รูปแบบการเรียนการสอนในระดับอุดมศึกษากันอย่างกว้างขวางด้วยเหตุผลหลายอย่าง อาทิเนื้อหาแน่นมาก และไม่สอดคล้องกับการนำไปใช้ในสถานการณ์จริงที่บัณฑิตจะออกไปทำงาน การเรียนการสอนเน้นการท่องจำมากกว่าการคิดและการแก้ปัญหา การเรียนการสอนไม่ได้เตรียมผู้เรียนให้มีการศึกษาต่อเนื่องตลอดชีพ ผู้เรียนไม่สามารถทำงานเป็นทีมได้ การเรียนเรียนไปเพื่อสอบ เป็นต้น   การจัดการเรียนการสอนโดยใช้ปัญหาเป็นหลัก (Problem-based learning : PBL) เป็นทั้งวิธีการพัฒนาหลักสูตรและวิธีการสอน ในด้านการพัฒนาหลักสูตร เป็นวิธีการจัดหลักสูตรให้มีกิจกรรมการเรียนรู้โดยอาศัยปัญหาที่เป็นจริงในการปฏิบัติของวิชาชีพ    ลักษณะสำคัญของการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นหลักประกอบด้วย (๑) ใช้ปัญหาที่สอดคล้องกับสถานการณ์จริงเป็นตัวกระตุ้นหรือจุดเริ่มต้นในการแสวงหาความรู้ (๒) การบูรณาการเนื้อหาความรู้ในสาขาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับปัญหานั้น (๓) เน้นกระบวนการคิดอย่างมีเหตุผลและเป็นระบบ (๔) เรียนเป็นกลุ่มย่อย โดยมีครูหรือผู้สอนเป็นผู้สนับสนุนและกระตุ้น ผู้เรียนต้องร่วมกันสร้างบรรยากาศที่ส่งเสริมการเรียนรู้ให้เกิด ขึ้นในกลุ่ม (๕) เน้นกระบวนการเรียนรู้ที่ใช้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่ตนเองหรือกลุ่มตั้งไว้

กระบวนการและขั้นตอนในการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นหลัก (PBL)

ประกอบด้วย  ๓ ระยะ  ๗ ขั้นตอน

ระยะที่ ๑        เปิดโจทย์ปัญหา

ระยะที่ ๒        ค้นคว้าหาความรู้

ระยะที่ ๓        ปิดโจทย์ปัญหา

ระยะที่ ๑ เปิดโจทย์ปัญหา   มี ๕ ขั้นตอน

๑. Clarify terms and concepts    นักศึกษาทั้งกลุ่มร่วมกันอ่านโจทย์/สถานการณ์ ทำความเข้าใจกับศัพท์และแนวคิดให้มีความเข้าใจที่ตรงกัน

๒. Identify the problem   ระบุปัญหาของโจทย์ / สถานการณ์

๓. Analyses the problem   วิเคราะห์สาเหตุของปัญหา ความเชื่อมโยงของปัญหา

๔. Formulate hypotheses  ตั้งสมมติฐานที่เป็นสาเหตุของปัญหา จัดลำดับความสำคัญ

๕. Formulate learning objectives  ตั้งวัตถุประสงค์การเรียนรู้เพื่อนำมาใช้ในการแก้ปัญหา

ระยะที่ ๒ ศึกษาหาความรู้

๖. Collect additional information outside the group   รวบรวมข้อมูลนอกกลุ่ม โดยต่างคนแยกย้ายกันศึกษาหาความรู้จากแหล่งวิทยาการต่าง ๆตามวัตถุประสงค์การเรียนรู้ที่ตั้งไว้

ระยะที่ ๓ ปิดโจทย์ปัญหา

๗. Synthesize and test the newly acquired and identify information generalization and principles derived from studying this problem   กลุ่มกลับมาพบกันใหม่ สังเคราะห์ข้อมูลที่ได้มาเพื่อพิสูจน์สมมุติฐาน และสรุปเป็นหลักการสำหรับการนำไปใช้ต่อไปในอนาคต

 

ประเด็นสำคัญในการเรียนแบบ PBL

๑. ผู้เรียนต้องเผชิญกับโจทย์ปัญหาหรือสถานการณ์โดยที่มิได้มีการเตรียมตัวล่วงหน้า หรือเรียนเนื้อหาความรู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับโจทย์นั้นมาก่อน

๒. โจทย์ปัญหาหรือสถานการณ์ จะต้องสร้างให้คล้ายคลึงกับปัญหาหรือสถานการณ์จริงที่ผู้เรียนจะต้องไปเผชิญในอนาคต

๓. ผู้เรียนจะต้องศึกษาโจทย์ดังกล่าวในลักษณะของการใช้เหตุ ใช้ผล และการประยุกต์ใช้ความรู้อย่างเหมาะสมกับระดับความรู้ของตน

๔. โจทย์ปัญหาหรือสถานการณ์นั้น จะต้องเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการสร้างวัตถุประสงค์การเรียนรู้ในระหว่างการอภิปรายในกระบวนการกลุ่ม

๕. ความรู้และทักษะที่ได้จากการศึกษาหาความรู้จะต้องถูกนำมาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับการแก้ปัญหาเพื่อจะได้สามารถประเมินประสิทธิภาพการเรียนรู้

๖. เครื่องมือที่ใช้วัดผลต้องสอดคล้องกับกระบวนการเรียนรู้ โดยต้องวัดทั้งเนื้อหาความรู้ การแก้ปัญหา ความสามารถในการเรียนรู้ด้วยตนเอง ประสิทธิภาพของกระบวนการกลุ่ม

 

ประโยชน์ของ PBL

๑. ผู้เรียนสามารถนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ในการแก้ปัญหา

๒. ผู้เรียนเกิดการใฝ่รู้และสามารถที่จะเรียนรู้ด้วยตนเองไปตลอดชีวิต

เงื่อนไขที่สนับสนุนการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพ

๑. Activation of prior knowledge

การเรียนแบบ PBL ขั้นตอนที่จะระบุปัญหาและวิเคราะห์ปัญหา จะต้องใช้ความรู้เดิมที่ผู้เรียนมีอยู่ จึงเป็นการเรียนที่มีการกระตุ้นความรู้เดิมมาใช้

๒. Encoding specificity

PBL ใช้โจทย์ปัญหาที่พบจริง หรือคล้ายคลึงกับปัญหาที่พบในวิชาชีพ ทำให้ผู้เรียนจะระลึกได้เมื่อพบปัญหานี้อีกในอนาคต

๓. Elaboration of knowledge

ในการเรียนแบบ PBL เมื่อผู้เรียนไปศึกษาหาความรู้ด้วยตนเองมาแล้ว จะต้องนำความรู้ที่ได้มาอภิปราย ต่อเติมเสริมความรู้ซึ่งกันและกัน

 

จุดเด่นของ PBL

๑. ใช้กรณีศึกษาในวิชาชีพมาเป็นตัวกระตุ้นในการเรียนวิชาพื้นฐานต่าง ๆ ทำให้มีความเชื่อมโยงระหว่างเนื้อหาวิชาช่วยตัดเนื้อหาวิชาพื้นฐานที่ไม่เกี่ยวข้องและล้าสมัย

๒. มีบูรณาการระหว่างสาขาวิชา ทำให้สอดคล้องกับการปฏิบัติงานจริงทางวิชาชีพ และมีการรวบรวมคัดเลือดเนื้อหาสำคัญที่เป็นแกนหลัก ช่วยลดเนื้อหาที่ต้องเรียนกันมากมายโดยไม่จำเป็น

๓. ผู้เรียนจะต้องเปลี่ยนจาก passive learner มาเป็น active learner

๔. เสริมสร้างทักษะที่จำเป็นต่อการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องและการปฏิบัติงานทางวิชาชีพ เช่น การแก้ปัญหา การสื่อสาร การทำงานเป็นทีม

๕. สร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้ เพราะใช้ปัญหาจริงมาเป็นตัวกระตุ้น

๖. กระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้อย่างเข้าใจแทนการท่องจำ เพราะต้องประยุกต์ความรู้มาใช้ในการแก้ปัญหา

๗. เป็นการเรียนรู้แบบความคิดสร้างสรรค์ (Constructivism)เพราะต้องใช้ความรู้เดิมที่มีอยู่มาคิดในการสร้างความรู้ใหม่ที่จำเป็นเพื่อต่อเติมเสริมเข้ากับความรู้เดิม

 

จุดอ่อนของ PBL

๑. ความรู้ทีได้ อาจเป็นการเรียนรู้อย่างไม่เป็นระบบ ไม่รู้ว่าอะไรสำคัญ อะไรไม่สำคัญ ผิดกับการสอนของครูที่มักมีการสอนอย่างเป็นระบบ

๒. อาจต้องใช้เวลาในการเรียนรู้มากกว่าที่ครูสอน

๓. การลงทุนด้านทรัพยากรค่อนข้างสูง

๔. ครูไม่สามารถใช้ความรู้ของตนมาถ่ายทอดให้ผู้เรียนได้โดยตรง จึงอาจไม่เกิดแรงจูงใจในการสอน

๕. จำเป็นต้องพัฒนาความสามารถของครูในด้านกระบวนการกลุ่มย่อย

๖. ขาดแบบอย่างของครูที่ดีที่จะเป็น role model เช่นในระบบเดิม

บทบาทครูในการกระตุ้นและสนับสนุนให้เกิดการเรียนรู้

ครูใน PBL จะเปลี่ยนจากผู้ถ่ายทอดวิชาความรู้หรือข้อมูลต่าง ๆ ให้แก่นักศึกษาโดยตรง มาเป็นผู้สนับสนุนหรือกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้เพื่อช่วยให้ผู้เรียนบรรลุถึงเป้าหมาย (facilitator) โดยบทบาทของครู มีดังนี้

๑. ครูต้องส่งเสริมให้นักศึกษาเกิด meta cognitive skill คือ

- การคิดใคร่ครวญ ตรึกตรองอย่างแยบคายในการแก้ปัญหา

- ทบทวนความรู้และประสบการณ์เดิมนำมาใช้กับปัญหาใหม่ได้

- สร้างสมมุติฐาน ตัดสินใจว่า ควรสังเกต ไต่ถาม ค้นคว้าเพิ่มเติมเรื่องใด จากแหล่งวิทยา

การใด

- รู้จักพิจารณาข้อมูลข่าวสารที่ได้มาว่าถูกต้องหรือไม่

- ครูต้องพยายามกระตุ้นให้นักศึกษาคิดโดยการใช้คำถาม

- ครูไม่ทำตัวเป็นผู้ป้อนข้อมูลโดยตรงให้แก่นักศึกษา

- ครูหลีกเลี่ยงการให้ความเห็นต่อการอภิปรายของนักศึกษาว่าผิดหรือถูกโดยตรง

๒. ช่วยให้นักศึกษาเรียนรู้โดยผ่านขั้นตอนทีละขั้น ไม่เรียนลัด เช่น ในการปัญหา ต้องมีการกล่าวถึงสมมุติฐานหรือพยายามอธิบายสาเหตุให้หมดก่อนจะไปศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม

๓. ช่วยให้นักศึกษาเกิดความเข้าใจในเรื่องที่เรียนได้อย่างลึกซึ่ง สามารถดึงความรู้ ความคิดที่ซ่อนอยู่ในใจออกมาได้

๔. กระตุ้นให้นักศึกษาอภิปรายโต้ตอบกันเอง โดยครูไม่ทำตัวเป็นศูนย์กลางของการโต้ตอบ

๕. ช่วยให้ทุกคนในกลุ่มมีส่วนร่วมในทุกกิจกรรมของกลุ่มป้องกันไม่ให้คนที่พูดเก่งทำตัวเด่นในกลุ่มมากไป ไม่ปล่อยให้คนไม่ช่างพูดถอนตัวจากกลุ่ม

๖. ปรับเปลี่ยนสภาพการเรียนการสอนไม่ให้เกิดความเบื่อหน่ายเมื่อปัญหาง่ายไป หรือท้อแท้เมื่อปัญหายากไป

๗. ต้องดูแลความก้าวหน้าของนักศึกษาทุกคนในกลุ่มฝึกให้รู้จักประเมินตนเอง และช่วยกันเองในกลุ่มเมื่อมีปัญหาการเรียนรู้เกิดขึ้น

๘. ทำความรู้จักกับกลุ่มเป็นอย่างดี เมื่อเกิดปัญหาพฤติกรรมกลุ่มทำให้กลุ่มไม่ก้าวหน้า ครูต้องพยายามทำให้กลุ่มตระหนักและหาทางแก้ไขด้วยความสามารถของกลุ่มเองไม่ใช่ครูลงไปแก้ไขให้แต่แรกโดยตรง

 

 

 

 

บทบาทครูในการประเมินผล

๑. Formative evaluation การประเมินความก้าวหน้าของนักศึกษาเป็นระยะตามวัตถุประสงค์การเรียนรู้ หาข้อมูลว่าผู้เรียนมีความสามารถและมีจุดอ่อนในการเรียนรู้อย่างไรบ้าง เพื่อให้เกิดการปรับปรุงแก้ไข

๒. Summative evaluation ตัดสินว่าผู้เรียนได้เรียนรู้ถึงระดับมาตรฐานที่สมควรผ่านไปศึกษา Block ต่อไปหรือเลื่อนไปเรียนในปีถัดไปได้หรือไม่

ความรู้และทักษะของครูที่ควรมี

๑. ความรู้ความเข้าใจในวัตถุประสงค์ของหลักสูตรและของ block ที่ตนสอนเป็นอย่างดี

๒. ความรู้ความเข้าใจในกระบวนการกลุ่ม พฤติกรรมกลุ่ม

๓. มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ รวมทั้งมีทักษะในการเข้าในปัญหาและการจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้น

คุณลักษณะและเจตคติที่สำคัญของครู

๑. ต้องมองปัญหาให้ยืดหยุ่นและกว้างขวาง ครอบคลุมแง่มุมต่าง ๆ ของปัญหา

๒. ต้องรู้ว่าตนเองมิใช่ผู้วิเศษที่จะรู้ทุกอย่างและตอบได้ทุกคำถามและต้องไม่พยายามป้อน       หรือยัดเยียดความรู้ของตนเองให้กับนักศึกษา

๓. ต้องสนใจและเอาใจใส่นักศึกษาทั้งด้านพฤติกรรมและการเรียน สามารถค้นพบเมื่อเกิดปัญหาในการเรียนรู้และช่วยในการแก้ไข

๔. มีความเชื่อมั่นตนเองในการให้ Feedback ที่ตรงไปตรงมากับนักศึกษา

๕. ต้องไม่แสดงตนเป็นผู้มีอำนาจเต็มในชั้นเรียน แต่ให้ความนับถือนักศึกษาในฐานะเพื่อนร่วมงาน และสามารถเรียนรู้ร่วมกันกับนักศึกษา

๖. ต้องตระหนักถึงการปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรมโดยสอดแทรกแนวคิดและทางปฏิบัติเมื่อมีโอกาส

๗. ต้องมีความรับผิดชอบสูง ปฏิบัติตามสัญญา เพื่อเป็นตัวอย่างแก่นักศึกษา

การเรียนที่ใช้ปัญหาเป็นหลัก จะช่วยเพิ่มแรงจูงใจในการเรียน เนื่องจากผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ มากกว่าการรับฟังเนื้อหาจากครูผู้สอนเพียงฝ่ายเดียว สิ่งสำคัญก็คือสถานการณ์ปัญหา  ที่นำมาใช้เป็นแรงกระตุ้นและผลักดันให้ผู้เรียนนำความรู้ หรือประสบการณ์ที่มีอยู่เดิมมาใช้แก้ปัญหา ดังนั้นลักษณะของปัญหาต้องมีความน่าสนใจ ท้าทายและน่าค้นหาคำตอบ รวมทั้งควรเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผู้เรียน เพื่อผู้เรียนจะได้แสดงความสามารถในการแก้ปัญหาโดยการระบุประเด็น โครงสร้าง และเสนอแนวทางในการแก้ปัญหาด้วยตนเอง

 

 ความรู้ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการปฏิบัติงาน

การจัดการเรียนการสอนให้ผลผลิตคือนักศึกษาพยาบาล เป็นพยาบาลวิชาชีพที่มีคุณภาพต่อไป

ความรู้ที่จะนำไปพัฒนาต่อ

การเรียนการสอนและการพัฒนากระบวนการคิดอย่างเป็นระบบของนักศึกษา

  (406)

ประชุมเชิงปฏิบัติการเพิ่มพูนประสบการณ์ การกำหนดหน้าที่ผู้สนับสนุนเขตบริการสุขภาพ ครั้งที่ 1

ประชุมเชิงปฏิบัติการเพิ่มพูนประสบการณ์ การกำหนดหน้าที่ผู้สนับสนุนเขตบริการสุขภาพ ครั้งที่ 1

แบบฟอร์มสำหรับส่งบทความเข้าคลังความรู้

 

วันที่บันทึก :  27  มิถุนายน 2556

 

ผู้บันทึกนางยุพิน  ทรัพย์แก้ว

 

กลุ่มงาน :  หัวหน้าศูนย์ความเป็นเลิศด้านการสร้างเสริมสุขภาพผู้สูงอายุ

 

ฝ่าย :  วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครศรีธรรมราช 


ประเภทการปฏิบัติงาน
: ประชุม

วันที่   25 มิถุนายน  2557  ถึงวันที่  25 มิถุนายน 2557


หน่วยงาน/สถาบันที่จัด
: สถาบันพระบรมราชชนก  


สถานที่จัด
:   ณ ห้องประชุมไพจิตร ปวะบุตร อาคาร 7 ชั้น 9   สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข 


เรื่อง
: ประชุมเชิงปฏิบัติการเพิ่มพูนประสบการณ์ การกำหนดหน้าที่ผู้สนับสนุนเขตบริการสุขภาพ ครั้งที่ 1

รายละเอียด

 ความรู้ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการปฏิบัติงาน

บรรยายพิเศษ เรื่องนโยบายและทิศทางการปฏิรูปกระทรวงสาธารณสุข

โดยนายแพทย์ ณรงค์ สหเมธาพัฒน์

เนื้อหา

-การผลิตข้าราชการพันธ์ใหม่  สถาบันพระบรมราชชนก ควรมีการบรรจุวิชา ธรรมาภิบาล ลงในหลักสูตร

- กระทรวงสาธารณสุขน่าจะทำระบบบริการสุขภาพให้มีคุณภาพ ประสิทธิภาพ สมานฉันท์ และการมีส่วนร่วมของประชาชน

-มาตรการเร่งด่วน

1.การปรองดอง สมานฉันท์

2.Better service เวลาในการให้บริการ การมาสาย ให้ทุกโรงพยาบาล กลับไปนั่งคุยกัน อะไรอยากทำให้เกิด Better service ทำได้ทุกจุดสิ่งสำคัญคือหัวหน้า (295)

วิธีปฏิบัติที่ดีตอบสนองการดำเนินงานตามกลุ่มภารกิจการบริการวิชาการ โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้พิการในชุมชนนาเคียน

วิธีปฏิบัติที่ดีตอบสนองการดำเนินงานตามกลุ่มภารกิจการบริการวิชาการ โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้พิการในชุมชนนาเคียน

ชื่อผลงานวิธีปฏิบัติที่ดีตอบสนองการดำเนินงานตามกลุ่มภารกิจการบริการวิชาการ

โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้พิการในชุมชนนาเคียน

 วัตถุประสงค์

1)      พัฒนาศักยภาพอาสาสมัครสาธารณสุขในการดูแล ส่งเสริม ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้พิการในชุมชน

2)      พัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้พิการทางการเคลื่อนไหว

3)      สร้างองค์ความรู้จากการบูรณาการบริการวิชาการกับการวิจัยในชุมชนโดยสร้างรูปแบบการดูแล

ผู้พิการทางการเคลื่อนไหวในชุมชนและรูปแบบการดูแลผู้พิการด้วยระบบครอบครัวพหุวัฒนธรรม

4)      สร้างเครือข่ายความร่วมมือขององค์การบริหารส่วนตำบลนาเคียน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ

ตำบลบ้านเหมืองหัวทะเล โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านทุ่งโหนด วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครศรีธรรมราช และโรงพยาบาลมหาราช นครศรีธรรมราชในการดูแลผู้พิการในชุมชนนาเคียน

5)       เป็นแหล่งเรียนรู้ของนักศึกษาพยาบาลศาสตร์โดยบูรณาการบริการวิชาการแก่สังคมกับการ

เรียนการสอน

การดำเนินการ

วิทยาลัยดำเนินการตามแผน มีการสำรวจความต้องการของชุมชน โดยการมีส่วนร่วมขององค์การบริหารส่วนตำบลนาเคียน และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านเหมืองหัวทะเล โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านทุ่งโหนด ผู้นำหมู่บ้าน แกนนำชุมชน โรงเรียน ผู้นำศาสนา ในการจัดทำประชาพิจารณ์ ค้นหาปัญหาชุมชนร่วมกัน  และได้จัดทำบันทึกตกลงความร่วมมือในการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้พิการทางการเคลื่อนไหวในชุมชนนาเคียนโดยกำหนดการดำเนินงานเป็น 3 ระยะ ดังนี้

ระยะที่ 1 สร้างความรู้ โดยจัดทำโครงการพัฒนาศักยภาพของอาสาสมัครสาธารณสุขและผู้ดูแลในการฟื้นฟูสภาพผู้พิการทางการเคลื่อนไหวในชุมชนระหว่างเดือน มกราคม- กรกฎาคม 2553ได้รับสนับสนุนงบประมาณจากองค์การบริหารส่วนตำบลนาเคียน จำนวน 80,000 บาท ในการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาศักยภาพของอาสาสมัครสาธารณสุขและผู้ดูแลในการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้พิการทางการเคลื่อนไหวในชุมชน มีผู้เข้าอบรม จำนวน 195 คน หลังจากนั้นได้จัดทีมจิตอาสา มีอาสาสมัครสาธารณสุขที่มีจิตอาสา จำนวน 53 คน ลงปฏิบัติการฟื้นฟูสภาพผู้พิการทางการเคลื่อนไหวที่บ้าน ร่วมกับเจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านเหมืองหัวทะเล จำนวน 5 คน และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านทุ่งโหนดจำนวน 5 คน อาจารย์จากวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครศรีธรรมราช จำนวน 20 คน นักศึกษา จำนวน 65 คน รวมทีมจิตอาสาทั้งหมด 148 คน  และมีการจัดประชุมเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในการดูแลผู้พิการทางการเคลื่อนไหวเดือนละ 1 ครั้ง เพื่อประเมินปัญหาและความต้องการของผู้พิการทางการเคลื่อนไหว และนำผลของการประเมินไปปรับปรุงกระบวนการดูแลผู้พิการผลจากการดำเนินกิจกรรมโครงการ ทำให้อสม. เกิดกระบวนการเรียนรู้ในการดูแลผู้พิการทางการเคลื่อนไหว สามารถประสานงานกับโรงพยาบาลมหาราชในการพาผู้พิการไปตรวจเพื่อขึ้นทะเบียนผู้พิการ และเบิกอุปกรณ์ช่วยเหลือผู้พิการในการเคลื่อนไหวมาให้ผู้พิการทางการเคลื่อนไหวในชุมชน ซึ่งจากการถอดบทเรียนประเมินผลโครงการ อสม.ต้องการความรู้ในการดูแลผู้พิการเพิ่มเติม นำไปสู่การจัดโครงการในระยะที่ 2

ระยะที่ 2 สร้างความรัก โดยจัดทำโครงการส่งเสริมฟื้นฟูสมรรถภาพผู้พิการในชุมชนนาเคียนโดยการจัดอบรมให้ความรู้แก่ อสม. เพิ่มเติมด้านการดูแลทางจิตใจ การใช้กระบวนการจิตปัญญาในการสื่อสารกับผู้พิการและครอบครัว การดูแลตามหลักการทางศาสนาการดูแลโภชนาการ เพื่อให้ อสม. สามารถดูแลผู้พิการในชุมชนนาเคียนต่อเนื่องและยั่งยืนโดยได้รับงบประมาณสนับสนุนจาก กองทุนหลักประกันสุขภาพ อบต.นาเคียน จำนวน 110,650 บาทในการบริหารจัดการโครงการ และเป็นค่าตอบแทนให้กับอาสาสมัครสาธารณสุขในการปฏิบัติงานเพื่อช่วยเหลือผู้พิการในชุมชน และดำเนินงานต่อเนื่องจนถึง เดือน ธันวาคม 2553และได้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในการดำเนินกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง  ผลของการประเมินโครงการ อสม. ต้องการความรู้ ทักษะในการดูแลผู้พิการเบื้องต้น เช่น การพลิกตะแคงตัว การเช็ดตัว การสระผมบนเตียง นำไปสู่การจัดโครงการพัฒนาศักยภาพผู้ดูแล ในด้านการตอบสนองความต้องการด้านสุขภาพแก่ผู้ที่มีปัญหาด้านการเคลื่อนไหวบูรณาการบริการวิชาการกับรายวิชาหลักการและเทคนิคการพยาบาล โดยจัดอบรม อสม. ชมรมจิตอาสาดูแลผู้พิการ ให้มีความรู้และทักษะในการดูแลช่วยเหลือผู้พิการเบื้องต้น เช่น การเช็ดตัวบนเตียง การสระผม การนวดหลัง การพลิกตะแคงตัว โดยนักศึกษามีส่วนร่วมในการเรียนรู้การให้บริการตามสภาพจริง จากการดำเนินกิจกรรมโครงการในการดูแลผู้พิการทางการเคลื่อนไหวในชุมชนเป็นระยะเวลานาน ทำให้ อสม. มีความใกล้ชิด เข้าใจความรู้สึกของผู้พิการมากขึ้น อยากดูแลช่วยเหลือผู้พิการต่อไป   จึงเกิดการก่อตั้งชมรมจิตอาสาดูแลผู้พิการในชุมชนนาเคียนขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ  ๑) ส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการดูแลผู้พิการในชุมชนนาเคียน๒) สร้างจิตสำนึกด้านความรัก การช่วยเหลือ เอื้ออาทรซึ่งกันและกันในชุมชนและ ๓) เป็นพลังขับเคลื่อนให้เกิดโครงการ/กิจกรรมในการพัฒนาชุมชน  ซึ่งกิจกรรมที่ชมรมได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องได้แก่ ๑) กิจกรรมการดูแลช่วยเหลือผู้พิการ โดยการทำกายภาพบำบัดให้ความรู้ คำแนะนำในการดูแลสุขภาพ ปลอบใจและเป็นกำลังใจให้ผู้พิการอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยอาทิตย์ละ ๑ ครั้ง  ๒) กิจกรรมสืบค้นผู้พิการรายใหม่เพื่อนำไปตรวจร่างกายและลงทะเบียนผู้พิการ  จัดหาวัสดุอุปกรณ์ช่วยสำหรับผู้พิการ    ๓)  กิจกรรมจัดหาทุนในการดูแลผู้พิการและสร้างศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้พิการของชุมชนผลการประเมินถอดบทเรียนสะท้อนคิดของ อสม. จิตอาสาดูแลผู้พิการ รู้สึกภาคภูมิใจที่ได้ช่วยเหลือผู้พิการในชุมชน และผู้พิการต้องการมีรายได้จากการประกอบอาชีพ นำไปสู่การจัดโครงการในระยะที่ 3

ระยะที่ 3 สร้างคุณค่า โดยวิทยาลัยร่วมกับชมรมจิตอาสาดูแลผู้พิการตำบลนาเคียน สำรวจความเป็นไปได้ในการส่งเสริมการสร้างอาชีพแก่ผู้พิการ และได้จัดทำแผนการส่งเสริมอาชีพการทำไม้กลัดแก่ผู้พิการโดยวิทยาลัยมอบทุนส่วนหนึ่งในการจัดซื้ออุปกรณ์  และส่งเสริมอาชีพการปอกกระเทียม จากการติดตามเยี่ยมประเมินคุณภาพชีวิตผู้พิการ และถอดบทเรียน พบว่า ผลของการส่งเสริมอาชีพแก่ผู้พิการทางการเคลื่อนไหว ช่วยพัฒนากล้ามเนื้อนิ้วมือและข้อของผู้พิการให้สามารถใช้งานได้ดีขึ้น  

วิธีปฏิบัติตามขั้นตอนการปฏิบัติงาน

กำหนดนโยบาย วัตถุประสงค์

แต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินงาน

 

จัดทำแผนปฏิบัติการประจำปี

 

วางแผนการดำเนินงาน

1.ศึกษาและวิเคราะห์ปัญหาของชุมชน

2.สร้างความเข้าใจและความร่วมมือของเครือข่ายในชุมชน

3. จัดทำพันธะสัญญา (MOU) ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้พิการ

 

 

 

 

 

 

 

ดำเนินโครงการ/กิจกรรมตามแผน

1.โครงการพัฒนาศักยภาพของอาสาสมัครสาธารณสุขและผู้ดูแลในการฟื้นฟูสภาพผู้พิการทางการเคลื่อนไหว

2. โครงการส่งเสริมฟื้นฟูสมรรถภาพผู้พิการในชุมชนนาเคียน

3. โครงการพัฒนาศักยภาพผู้ดูแล ในด้านการตอบสนองความต้องการด้านสุขภาพแก่ผู้ที่มีปัญหาด้านการเคลื่อนไหว

 

 

 

 

 

 

 

 

ประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ปรับปรุงการปฏิบัติงาน

 

 

 

 

นำผลการดำเนินงานไปวางแผนเพื่อดำเนินการรอบปีถัดไป

 

 

 

 

 

ผลการดำเนินการ

จากการดำเนินโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้พิการอย่างต่อเนื่อง  วิทยาลัยได้มีการประเมินผลความสำเร็จของโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้พิการดังนี้

5.1 ร้อยละ 100 ของอาสาสมัครสาธารณสุข มีค่าเฉลี่ยของ ทัศนคติ  ความรู้ความเข้าใจ  และ

ระดับความสามารถในการดูแลผู้พิการทางการเคลื่อนไหวเพิ่มขึ้น

5.2 ร้อยละ 100 ของผู้พิการทางการเคลื่อนไหวมีความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวัน ดัชนี

สภาวะสุขภาพ และคุณภาพชีวิตด้านสุขภาพกาย จิตใจ สัมพันธภาพทางสังคม และสิ่งแวดล้อม เพิ่มขึ้น

5.3 ร้อยละ 88.4 ของผู้ดูแลผู้พิการทางการเคลื่อนไหวมีค่าเฉลี่ยความพึงพอใจในระดับมากที่สุด

5.4ได้รูปแบบการดูแลผู้พิการในชุมชนนาเคียนและรูปแบบการดูแลด้วยระบบครอบครัวพหุ

วัฒนธรรม

5.5 เกิดเครือข่ายร่วมมือระหว่างองค์การบริหารส่วนตำบลนาเคียน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ

ตำบลบ้านเหมืองหัวทะเล โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านทุ่งโหนด วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครศรีธรรมราช และโรงพยาบาลมหาราช นครศรีธรรมราชในการดูแลผู้พิการในชุมชนนาเคียนโดยในการดำเนินงานดูแลผู้พิการ องค์การบริหารส่วนตำบลนาเคียนจะเป็นผู้สนับสนุนเรื่องเงินงบประมาณ สถานที่ในการดำเนินโครงการ ส่วนโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านเหมืองหัวทะเล โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านทุ่งโหนดและวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครศรีธรรมราช จะเป็นผู้ดำเนินกิจกรรมต่างๆ และโรงพยาบาลมหาราช นครศรีธรรมราชจะสนับสนุนในส่วนของวิทยากร การอำนวยความสะดวกในการรับรองเป็นผู้พิการ การร่วมตรวจเยี่ยมผู้พิการในชุมชน และการเบิกอุปกรณ์สำหรับผู้พิการ

5.6   ความสำเร็จของการบูรณาการบริการวิชาการ กับรายวิชาหลักการและเทคนิคการพยาบาล

 

ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการจัดโครงการ

  1. เกิดชมรมจิตอาสาดูแลผู้พิการตำบลนาเคียน

จากการดำเนินงานร่วมกันของวิทยาลัย กับ องค์การบริหารส่วนตำบลนาเคียน โรงพยาบาล

ส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านเหมืองหัวทะเล และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านทุ่งโหนด ในการสร้างความเข้มแข็งแก่ชุมชนนาเคียนตลอดระยะเวลา ๒ ปี พบว่าชุมชนมีผู้นำและสมาชิกที่มีการเรียนรู้และดำเนินกิจกรรมอย่างต่อเนื่องอาสาสมัครสาธารณสุขมีกระบวนการแลกเปลี่ยนแนวคิด ปัญหาอุปสรรคในการดำเนินงานอย่างสม่ำเสมอ และเกิดกระบวนการเรียนรู้ในการดูแลผู้พิการทางการเคลื่อนไหวอย่างเป็นระบบ ภายใต้บริบทของวัฒนธรรมความเอื้ออาทรซึ่งกันและกัน ทำให้เกิดการก่อตั้งชมรมจิตอาสาดูแลผู้พิการในชุมชนนาเคียนขึ้น เพื่อให้การช่วยเหลือผู้พิการอย่างต่อเนื่อง

2.ได้องค์ความรู้ที่เกิดจากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้

2.1)  ระบบในการดูแลผู้พิการในชุมชน

ผลจากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในการดำเนินงานพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้พิการทำให้อาสาสมัคร

สาธารณสุขมีความเข้าใจในบทบาทของตนเองมากขึ้น และมีความรู้ในการส่งเสริมฟื้นฟูสมรรถภาพและดูแลผู้พิการทางการเคลื่อนไหวมากขึ้น  ดังนั้นในการดำเนินงานของอาสาสมัครสาธารณสุขในการดูแลผู้พิการในชุมชนนาเคียนในระยะหลัง จึงมีแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนมากขึ้น ตั้งแต่ขั้นตอนของการสำรวจผู้พิการในชุมชน  การประสานงานเพื่อจดทะเบียนผู้พิการ การขอรับอุปกรณ์ช่วยเหลือในการเคลื่อนไหวแก่ผู้พิการ  เช่น ไม้เท้า  เหล็กสามขา  เก้าอี้รถเข็น การรายงานผลการเยี่ยมผู้พิการ และการส่งต่อ

2.2) การพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก ข้อนิ้ว จากการส่งเสริมอาชีพปอกกระเทียม และทำไม้กลัด

ผู้พิการทางการเคลื่อนไหวส่วนใหญ่มักมีสาเหตุมาจากโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งส่งผลทำให้การควบคุมกล้ามเนื้อ การเคลื่อนไหวของข้อเป็นไปด้วยความยากลำบาก การส่งเสริมฟื้นฟูสมรรถภาพทั่วไปจะเน้นการบริหารกล้ามเนื้อและข้อบริเวณส่วนต่างๆของร่างกายที่มีพยาธิสภาพโดยการเคลื่อนไหวในท่าต่างๆ เช่น เหยียด งอ กางเข้า กางออก และหมุน ซึ่งจากการที่ผู้พิการได้รับการส่งเสริมอาชีพให้ปอกกระเทียม ทำไม้กลัด ทำให้ได้ฝึกการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อและข้อเป็นประจำทุกวัน ผลของการที่ผู้พิการได้ปอกกระเทียมไป 3 เดือน พบว่าการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อนิ้วมือและข้อนิ้วดีขึ้น อาการชาลดลง

2.3) นวัตกรรมจากชุมชน

เกิดนวัตกรรมในชุมชนในการดูแลผู้พิการ โดยผู้ดูแล และผู้พิการ ประยุกต์วัสดุ เครื่องใช้ใน

ครัวเรือนมาช่วยในการดูแลผู้พิการ เช่นเก้าอี้พลาสติกช่วยเดิน    ส้วมมหัศจรรย์    ยางรัดสารพัดประโยชน์ นำเป็นแบบอย่างในการส่งเสริมฟื้นฟูสมรรถภาพผู้พิการรายอื่นๆตามบริบทที่เหมาะสม

2.4) องค์ความรู้จากการวิจัยในชุมชนเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้พิการ

วิจัยระบบอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในการดูแลผู้พิการ  : กรณีศึกษาในชุมชนนาเคียนตำบลนาเคียนอำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นการศึกษาถึงความรู้ ระดับการปฏิบัติงาน  และแนวทางในการพัฒนาระบบอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในการดูแลผู้พิการในชุมชนนาเคียนผลของการศึกษาพบว่าความรู้และระดับการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขในการดูแลผู้พิการอยู่ในระดับปานกลาง (=3.69, SD=.79; =3.75, SD=.76)อาสาสมัครที่มีระดับการปฏิบัติงานแตกต่างกัน มีแนวทางในการพัฒนาระบบอาสาสมัครสาธารณสุขแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (F= 7.64, p <.05)   ผลจากการวิจัยนำไปสู่การปรับปรุงระบบอาสาสมัครสาธารณสุขในการดูแลผู้พิการในชุมชน

วิจัยรูปแบบการดูแลผู้พิการทางการเคลื่อนไหวในชุมชนด้วยระบบครอบครัวพหุวัฒนธรรม เพื่อศึกษา 1) รูปแบบการดูแลผู้พิการทางการเคลื่อนไหวในชุมชนที่สามารถนำไปใช้ได้จริง 2) ส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของผู้พิการทางการเคลื่อนไหวในชุมชนลดภาระของญาติและผู้ดูแล3)ผู้พิการทางการเคลื่อนไหวได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพอย่างต่อเนื่องลดการเกิดภาวะแทรกซ้อน 4)อาสาสมัครสาธารณสุขมีความพร้อมและมั่นใจในการดูแลผู้พิการทางการเคลื่อนไหวในชุมชน 5)สร้างเครือข่ายในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล อาสาสมัครสาธารณสุข และผู้ดูแลผู้พิการทางการเคลื่อนไหวในชุมชน และ 6) นักศึกษาพยาบาลได้เรียนรู้สภาพจริงของผู้พิการทางการเคลื่อนไหวในชุมชนวิธีการดำเนินงานโดยลงศึกษาชุมชนและหาแนวร่วมในการดำเนินงาน จัดประชุมทีมงาน ค้นหาปัญหา อุปสรรค แนวทางในการดูแลผู้พิการทางการเคลื่อนไหวในชุมชนรับสมัครทีมจิตอาสาดูแลผู้พิการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการในการดูแลผู้พิการ จัดระบบครอบครัวเสมือน ติดตามประเมินความสามารถของผู้พิการและแนวทางการฟื้นฟูสภาพผู้พิการทางการเคลื่อนไหวเป็นรายคนจัดทำแฟ้มครอบครัวทีมร่วมดูแลผู้พิการบันทึกผลการเยี่ยมจัดประชุมสัมมนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ปัญหาอุปสรรคในการทำงาน เพื่อนำไปปรับปรุงพัฒนากระบวนการทำงาน  ผลของการดำเนินงานผู้พิการทางการเคลื่อนไหวส่วนใหญ่ มีคะแนนความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวันเพิ่มขึ้น ดัชนีสภาวะสุขภาพเพิ่มขึ้น ค่าเฉลี่ยคุณภาพชีวิตเพิ่มขึ้นในทุกด้าน และผู้ดูแลผู้พิการส่วนใหญ่มีความพึงพอใจในการดูแลของทีมจิตอาสาในระดับมากที่สุดและจำนวนจิตอาสาในชุมชนเพิ่มขึ้น 10 คน ในรอบ 1 ปีผลของการวิจัยได้รูปแบบการดูแลผู้พิการทางการเคลื่อนไหวในชุมชนด้วยระบบครอบครัวพหุวัฒนธรรมและนำรูปแบบไปขยายสู่การดูแลผู้สูงอายุ

 

  (384)

รูปแบบการปลูกฝังจิตสาธารณะในนักศึกษาพยาบาล

รูปแบบการปลูกฝังจิตสาธารณะในนักศึกษาพยาบาล

การสังเคราะห์องค์ความรู้จากงานวิจัย

เรื่อง:   รูปแบบการปลูกฝังจิตสาธารณะในนักศึกษาพยาบาล

วันที่  26  พฤษภาคม  พ.ศ. 2557

เวลา 13.00-16.00 น.

ณ  ห้องประชุมถิระพันธ์

            โดย  ดร.รัถยานภิศ พละศึก

  ผู้ร่วมสังเคราะห์องค์ความรู้

                   ดร.รัถยานภิศ พละศึก

นางสาวบุญธิดา  เทือกสุบรรณ

นางธมลวรรณ แก้วกระจก

นางสาวเบญจมาศ จันทร์อุดม

นางสาวดาลิมา  สำแดงสาร

นางภคมล ทรงเลิศ

สรุปองค์ความรู้ที่ได้จากการสังเคราะห์

ชื่องานวิจัย: รูปแบบการปลูกฝังจิตสาธารณะในนักศึกษาพยาบาล

องค์ความรู้ที่ได้จากงานวิจัย

          กระบวนการสร้างจิตสาธารณะในนักศึกษาพยาบาล 5 ขั้นตอนดังนี้

ขั้นที่1. ขั้นก่อนสำนึกว่าจะทำความดี ระยะนี้จะต้องมีความชัดเจนว่าการทำความดีคืออะไรโดยนักศึกษา ต้องประเมินตนเองด้านจิตสาธารณะก่อน

ขั้นที่ 2. ขั้นนี้ยอมรับว่าสิ่งที่ทำคือสิ่งที่ดี  ไม่กลัวการถูกว่า โดยให้นักศึกษาตนเองว่ามีจิตสาธารณะ อย่างไรบ้างเช่นสถานการณ์การฝึกปฏิบัติงานบนหอผู้ป่วย

ขั้นที่3. ขั้นนี้จัดให้การทำกิจกรรม และให้สะท้อนว่ากิจกรรมที่ทำแล้วมีประโยชน์อย่างไรโดยผู้สอน             จะ

เป็นผู้กำหนดสถานการณ์จิตสาธารณะแล้วให้นักศึกษาวิเคราะห์

ขั้นที่ 4. ขั้นนี้ให้นักศึกษารู้สำนึกว่าผลที่ตามมากับผู้อื่นได้อะไรบ้างจากการกระทำของนักศึกษา

ขั้นที่ 5. นำการทำจิตสาธารณะไปขยายกับบุคคลอื่นๆที่กว้างขึ้น เช่น ทำกับบุคคลหลายๆคน  กับชุมชน

ในหอพัก  ที่บ้าน เป็นต้น

นำไปใช้ประโยชน์ในด้าน

ด้านการเรียนการสอน

          ใข้ในกระบวนการเรียนการสอน โดยผู้สอนต้องมีจิตสาธารณะก่อนที่จะไปพัฒนานักศึกษา

ด้านวิชาชีพ

ใช้ในการปลูกฝังจิตสาธารณะแก่นักศึกษาโดยใช้กระบวนการสร้างจิตสาธารณะ 5 ขั้นตอน โดยให้ ฝ่ายที่เกี่ยวข้องคืองานวิชาการและกิจการนักศึกษาจะต้องมีร่วมปรึกษาร่วมกันเพื่อนำเข้าสู่การปฏิบัติ

ด้านบริหาร

          -ฝ่ายบริหารจัดให้มี Motto ตามสถานที่ต่างๆที่นักศึกษาเดินผ่านภายในวิทยาลัยพยาบาล

-จัดให้มีสื่อเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ในจิตสาธารณะ ได้แก่ ภาพยนต์  VDO เป็นต้น

ด้านชุมชน

-นำนักศึกษาเข้าไปวิเคราะห์สถานการณ์จิตสาธารณะในชุมชน เช่น บ้านที่มีผู้สูงอายุที่ไม่มีผู้ดูแล หรือมีผู้ดูแลไม่เพียงพอ จะทำอย่างไร (611)