ความรู้พื้นฐานด้านการบริหารงานบุคคล สำหรับผู้ปฏิบัติงานใหม่ ปีงบประมาณ 2558

ความรู้พื้นฐานด้านการบริหารงานบุคคล สำหรับผู้ปฏิบัติงานใหม่ ปีงบประมาณ 2558

  ความรู้พื้นฐานด้านการบริหารงานบุคคล  สำหรับผู้ปฏิบัติงานใหม่  ปีงบประมาณ  2558

1. อัตรากำลังและการบริหารจัดการตำแหน่งใน สป.สธ.
การบรรจุแต่งตั้งตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 สิ่งสำคัญต้องมี คือ ตำแหน่งในระดับที่จะแต่งตั้ง, คุณสมบัติ,  Spec , ดำเนินการตามหลักเกณฑ์และวิธีการ,  ดำเนินการออกคำสั่งแต่งตั้ง
การบรรจุมี  8  กรณี
- การบรรจุผู้สอบแข่งขันได้
- การบรรจุผู้ได้รับคัดเลือก
- การบรรจุผู้มีความรู้ ความชำนาญงานสูง
- การบรรจุกลับผู้เคยเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญที่ออกไปรับราชการทหาร
- การบรรจุกลับผู้เคยเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญที่ออกไปปฏิบัติงานใด ๆ ตามมติ ครม.    – การบรรจุกลับผู้เคยเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ
- การโอนข้าราชการ/พนักงานตามกฎหมายอื่น มาบรรจุ
- การบรรจุกลับผู้เคยเป็นข้าราชการ/พนักงานตามกฎหมายอื่น

การบรรจุผู้สอบแข่งขันได้
  1. ต้องบรรจุตามลำดับที่
2. ต้องมีคุณสมบัติทั่วไป และไม่มีลักษณะต้องห้ามหรือได้รับยกเว้น
3. ต้องมีคุณสมบัติตรงตาม Spec  หรือได้รับยกเว้น
4. การรับเงินเดือนตามวุฒิ  ตามปัจจัยที่ อ.ก.พ.กระทรวงกำหนด

การบรรจุผู้ได้รับคัดเลือก  ดำเนินการเหมือนการบรรจุผู้สอบแข่งขันได้  ถ้าเป็นกรณีสำหรับผู้ที่เคยเป็นลูกจ้างหรือพนักงานราชการให้ใช้ ว.54 เท่านั้น

แนวปฏิบัติในการจัดทำคำสั่’
การออกคำสั่ง
1. รูปแบบคำสั่ง ตำแหน่ง/กำหนดถูกต้องหรือไม่
2. ผู้มีอำนาจสั่งบรรจุ
3. คุณสมบัติทั่วไป/คุณสมบัติเฉพาะสำหรับตำแหน่ง
4. หลักเกณฑ์และวิธีการ
5. วันที่คำสั่งมีผลบังคับใช้
หากกรณีหน่วยงานจัดทำคำสั่งผิด   การแก้ไขคำสั่ง/การยกเลิกคำสั่ง ของทางราชการนั้น  เมื่อออกมาแล้วจะยกเลิกได้ก็ต่อเมื่อคำสั่งนั้นเป็นคำสั่งที่ออกมาโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมาย  หรือไม่ถูกต้องกับข้อเท็จจริง

2. การสรรหาและคัดเลือกบุคคลเข้ารับราชการ

การสรรหาและเลือกสรร  ต้องเป็นไปตามระบบคุณธรรม คำนึงถึงความรู้ ความสามารถและพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคล ความเสมอภาค ความเป็นธรรม และประโยชน์ของทางราชการเป็นสำคัญ ช่องทางการสรรหาและเลือกสรร ตาม พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551

1. การสอบแข่งขัน    หลักสูตรการสอบมี 3 ภาค  คือ  1. ภาคความรู้ความสามารถทั่วไป  2. ภาคความรู้ความสามารถที่ใช้เฉพาะตำแหน่ง  3. ภาคความเหมาะสมกับตำแหน่ง  เกณฑ์การตัดสิน  แต่ละภาคไม่ต่ำกว่าร้อยละ 60

2. การคัดเลือก  เป็นกรณีที่มีเหตุพิเศษ  ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอำนาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 อาจคัดเลือกบรรจุบุคคลเข้ารับราชการ และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งโดยไม่ต้องดำเนินการสอบแข่งขันตามมาตรา 53 ก็ได้  ทั้งนี้ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ  และเงื่อนไขที่ ก.พ. กำหนด

การประเมินผลงานทางวิชาการ  แนวทางการประเมินระดับเชี่ยวชาญในสังกัด สบช.

ตำแหน่งระดับเชี่ยวชาญ
- นักวิชาการศึกษา  เป็นตำแหน่งใน  วพบ.
- นักทรัพยากรบุคคล  เป็นตำแหน่งใน สบช.  รูปแบบ

ผลงานที่ต้องส่งประเมิน  ตาม ว16/2538

- เล่มที่ 1  แบบประเมินบุคคลและผลงาน (อวช.1) ฉบับลายเซ็นจริง 1 เล่ม ฉบับสำเนา 5 เล่ม
- เล่มที่ 2 ผลงานวิชาการฉบับสมบูรณ์  จำนวน 2 – 3 เรื่อง
- เล่มที่ 3 เอกสารเผยแพร่ผลงานวิชาการ ที่ตีพิมพ์ เผยแพร่ในเอกสารวารสารต่าง ๆ หรือจัดพิมพ์ในรายงานประจำปี  อย่างน้อย  1 เรื่อง ส่งฉบับจริง 1 เล่ม ฉบับสำเนา 6 เล่ม (Reprint)

การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับชำนาญการ-ชำนาญการพิเศษ ตามหลักเกณฑ์

ว10/15 กันยายน 2548

1. ประเมินเพื่อเลื่อนระดับ
1.1 ตำแหน่งเลื่อนไหล  เป็นตำแหน่งที่เลื่อนระดับสูงขึ้นได้ด้วยตนเอง  ได้ทุกตำแหน่ง จากปฏิบัติการ-ชำนาญการ  : พยาบาลวิชาชีพ, เภสัชกร, วิทยาจารย์ และทันตแพทย์ (ด้านการสอน) นักวิชาการศึกษา, นักทรัพยากรบุคคล  นักวิเคราะห์นโยบายและแผน, นักจัดการงานทั่วไป
1.2 ตำแหน่งนอกเลื่อนไหล  ชำนาญการ-ชำนาญการพิเศษ : นักวิชาการศึกษา / นักทรัพยากรบุคคล / นักวิเคราะห์นโยบายและแผน

2. ประเมินเพื่อขอรับเงินประจำตำแหน่ง

คุณสมบัติการขอรับเงินประจำตำแหน่ง

ระดับ

ระยะเวลาดำรงตำแหน่ง

(ตาม Spec)

ระยะเวลาขั้นต่ำในการดำรงตำแหน่ง

(ตาม ว 16)

อื่น ๆ

ชำนาญการ ระดับชำนาญการ 2 ปี - ป.ตรี 7 ปี- ป.โทหรือเทียบเท่า 5 ปี- ป.เอกหรือเทียบเท่า 3 ปี มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพฯ หรือวุฒิเพิ่มเติม (เฉพาะสายงาน
ห้ามส่งล่วงหน้า ที่กำหนด
เชี่ยวชาญ ระดับชำนาญการพิเศษ ไม่น้อยกว่า 3 ปี - ป.ตรี 9 ปี- ป.โทหรือเทียบเท่า 7 ปี- ป.เอกหรือเทียบเท่า 5 ปี มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพฯ หรือวุฒิเพิ่มเติม (เฉพาะสายงานที่กำหนด
ทรงคุณวุฒิ ระดับเชี่ยวชาญไม่น้อยกว่า 2 ปี - ป.ตรี 10 ปี- ป.โทหรือเทียบเท่า 8 ปี- ป.เอกหรือเทียบเท่า 6 ปี มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพฯ หรือวุฒิเพิ่มเติม (เฉพาะสายงานที่กำหนด

ขั้นตอนและวิธีการ

1. การคัดเลือกตัวบุคคล (ชี้ตัว)  คัดเลือกล่วงหน้าได้ 1 ปี

1.1 ตำแหน่งเลื่อนไหล
- ผู้มีคุณสมบัติส่งเอกสารคัดเลือกให้งานการเจ้าหน้าที่
- คุณสมบัติครบถ้วนเสนอปลัดกระทรวงสาธารณสุขเห็นชอบผ่านกลุ่มบริหารงานบุคคล
- ติดประกาศผลการคัดเลือก
- ส่งประเมินผลงานภายใน 12 เดือน

1.2 ตำแหน่งนอกเลื่อนไหล  ดำเนินการตาม ว 651/27 พฤศจิกายน 2557 “คณะกรรมการคัดเลือกบุคคลที่ อ.ก.พ.สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขแต่งตั้ง (ส่วนกลาง) พิจารณาแล้วเสนอปลัดกระทรวงสาธารณสุขเห็นชอบ  ต้องส่งประเมินผลงานภายใน  90  วัน

หลักเกณฑ์การคัดเลือกบุคคล ว 651/27 พ.ย. 57
1. เริ่มใช้ 27 พ.ย. 57
2. คณะกรรมการที่ อ.ก.พ. สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข
2.1 พิจารณาว่าจะคัดเลือกเพื่อ ย้าย โอน บรรจุกลับ หรือเลื่อนระดับ
2.2 ประกาศรับสมัคร ไม่น้อยกว่า 7 วันทำการ
2.3 น้ำหนักคะแนนในแต่ละองค์ประกอบ
- ความรู้ ความสามารถ และความชำนาญ                    20 คะแนน
- ระยะเวลาการดำรงตำแหน่ง                                      20 คะแนน
- การปฏิบัติตนเหมาะสมกับการเป็นข้าราชการ           20  คะแนน
- ผลงานหรือผลการปฏิบัติงาน                                    30  คะแนน
- เกณฑ์อื่น ๆ ภาวะผู้นำ                                               10 คะแนน
2.4 คัดเลือกตำแหน่งละ 1 คน แล้วเสนอปลัดกระทรวงสาธารณสุขเห็นชอบ
2.5 ประกาศผลการคัดเลือกให้ทักท้วง  ภายใน  30  วัน  (ระบุชื่อเรื่องผลงานวิชาการ และข้อเสนอแนวคิดด้วย)

3. การบริหารค่าตอบแทน

การประเมินผลการปฏิบัติราชการ ต้องครอบคลุมทั้ง 2 องค์ประกอบ
1. ผลสัมฤทธิ์ของงาน พิจารณาจากความสำเร็จของงาน  ซึ่งมี 3 ลักษณะ
1.1 งานที่ปรากฏในคำรับรองการปฏิบัติราชการ/แผนปฏิบัติราชการประจำปี
1.2 งานตามหน้าที่ความรับผิดชอบหลัก
1.3 งานที่ได้รับมอบหมายพิเศษ  ซึ่งไม่ใช่งานประจำ

2. พฤติกรรมการปฏิบัติราชการ ประเมินจาก
2.1 สมรรถนะหลัก  ที่ ก.พ. กำหนด  ได้แก่  มุ่งผลสัมฤทธิ์  บริการที่ดี  สั่งสมความเชี่ยวชาญในงานอาชีพ  การยึดมั่นในความถูกต้องชอบธรรมและจริยธรรม  การทำงานเป็นทีม

ข้าราชการทั่วไป  ผลสัมฤทธิ์ของงานต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ  70  ข้าราชการผู้อยู่ในระหว่างทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการ  สัดส่วนผลสัมฤทธิ์ของงานต่อพฤติกรรม  ร้อยละ 50 : 50

การบริหารวงเงินในการเลื่อนเงินเดือน

การเลื่อนเงินเดือน ปีละ 2 ครั้ง    รอบที่ 1 วันที่ 1 ต.ค. – 31 มี.ค. ปีถัดไป
รอบที่ 2  วันที่  1 เม.ย. – 30 ก.ย. ในปีเดียวกัน

การบริหารวงเงินรวมไม่เกินร้อยละ 3 ต่อครึ่งปี

กำหนดกรอบวงเงินเลื่อนเงินเดือนรายบุคคลไม่เกินร้อยละ 6 ของฐานในการคำนวณ

 หลักเกณฑ์และเงื่อนไขการเลื่อนเงินเดือน
         1. กำหนดเวลาปฏิบัติราชการ 4 เดือนจึงเลื่อนเงินเดือนได้กรณี
- การลาศึกษา, การอบรม/ดูงาน/ปฏิบัติการวิจัย, บรรจุเข้ารับราชการใหม่, ลาติดตามคู่สมรสไปปฏิบัติงานในต่างประเทศ

2. การปฏิบัติงานในองค์การระหว่างประเทศ หรือถูกสั่งให้ไปทำการใดซึ่งให้นับเวลาระหว่างนั้นเหมือนเต็มเวลาราชการหรือได้รับอนุญาตให้ลาไปฟื้นฟูสมรรถภาพด้านอาชีพ เนื่องจากได้รับอันตรายหรือการเจ็บป่วยเพราะเหตุปฏิบัติราชการในหน้าที่หรือถูกประทุษร้ายเพราะเหตุกระทำการตามหน้าที่ จนทำให้ตกเป็นผู้ทุพพลภาพหรือพิการ  เมื่อผู้นั้นกลับมาปฏิบัติราชการให้ผู้มีอำนาจสั่งเลื่อนเงินเดือนพิจารณาตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ ก.พ. กำหนด

3. เกษียณอายุราชการ  ให้เลื่อนเงินเดือนในวันที่ 30 กันยายน เพื่อประโยชน์ในการคำนวณบำเหน็จบำนาญ

4. เงื่อนไขอื่น ๆ ที่เลื่อนเงินเดือนได้
- มีผลการประเมินไม่ต่ำกว่าร้อยละ 60
- ไม่ถูกสั่งลงโทษทางวินัยที่หนักกว่าโทษภาคทัณฑ์หรือไม่ถูกศาลพิพากษาในคดีอาญาฯ
- ไม่ถูกสั่งพักราชการเกินกว่า 2 เดือน
- ไม่ขาดราชการโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร
- ไม่ลาหรือมาทำงานสายเกินจำนวนครั้งที่ผู้บังคับบัญชาผู้มีอำนาจสั่งเลื่อนเงินเดือนหรือ    ผู้ที่ได้รับมอบหมายกำหนด
- มีวันลาไม่เกิน 23 วันทำการ  (แต่ไม่เกิน 10 ครั้ง ของรอบการประเมิน) โดยไม่นับรวมวันลาดังต่อไปนี้
                   – วันลาอุปสมบท
- ลาคลอดบุตร ไม่เกิน 90 วัน
- ลาป่วยจำเป็น ซึ่งต้องรักษาตัวนานไม่เกิน 60 วัน
- ลาป่วยเพราะประสบอันตรายขณะปฏิบัติหน้าที่ราชการ
- ลาพักผ่อน- ลาเข้ารับการตรวจเลือก หรือเข้ารับการเตรียมพล
- ลาไปปฏิบัติงานองค์การระหว่างประเทศ
- ลาไปช่วยเหลือภริยาที่คลอดบุตร
- ลาไปฟื้นฟูสมรรถภาพด้านอาชีพ

4. หลักเกณฑ์การขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ให้แก่ข้าราชการ

ลำดับ

ตำแหน่ง

เครื่องราชสริยาภรณ์
ที่ขอพระราชทาน
เริ่มต้นขอ – เลื่อนได้ถึง

เงื่อนไขและ
ระยะเวลาการเลื่อนชั้นตรา

หมายเหตุ

1.

ระดับ 1

ร.ง.ม. – ร.ท.ช.

ขอพระราชทานได้เฉพาะกรณีพิเศษ เท่านั้น 1. ต้องมีระยะเวลารับราชการ ติดต่อกัน มาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปีบริบูรณ์ นับตั้งแต่ วันเริ่มเข้ารับ ราชการ จนถึงวัน ก่อนวัน พระราช พิธีเฉลิมพระชนมพรรษาของปีที่จะขอพระราชทาน
ไม่น้อยกว่า 60 วัน2. ลำดับ 2 -5 ซึ่งกำหนดระยะ เวลาเลื่อน
ชั้นตรา 5 ปี หมายถึง ต้องดำรงตำแหน่ง ในระดับนั้นๆ รวมเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี บริบูรณ์ ก่อนวันพระราชพิธีเฉลิมพระชนม พรรษาของปีที่จะ ขอพระราชทานไม่น้อยกว่า 60 วัน

2.

ระดับ 2

บ.ม. – บ.ช.

1. เริ่มขอพระราชทาน บ.ม.
2. ดำรงตำแหน่งระดับ 2 มาแล้วไม่ น้อยกว่า 5
ปีบริบูรณ์ ขอ บ.ช.

3.

ระดับ 3
…………..
…………..
ระดับ 4

จ.ม. – จ.ช.

1. ดำรงตำแหน่งระดับ 3 หรือ ระดับ 4 เริ่มต้น
ขอพระราชทาน จ.ม.
2. ถ้าดำรงตำแหน่งระดับ 3 และหรือ ระดับ 4 มาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี บริบูรณ์ ให้ขอ จ.ช.

4.

ระดับ 5
………….
………….
ระดับ 6

ต.ม. – ต.ช.

1. ดำรงตำแหน่งระดับ 5 หรือ ระดับ 6 เริ่มต้น
ขอพระราชทาน ต.ม.
2. ถ้าดำรงตำแหน่งระดับ 5 และหรือ ระดับ 6 มาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี บริบูรณ์ ให้ขอ ต.ช.

 

 

5.

ระดับ 7
………….
………….
ระดับ 8

ท.ม. – ท.ช.

1. ดำรงตำแหน่งระดับ 7 หรือ ระดับ 8 ให้เริ่มต้น
ขอพระราชทาน ท.ม.
2. ถ้าดำรงตำแหน่งระดับ 7 และหรือ ระดับ 8 มาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี บริบูรณ์ ให้ขอ ท.ช.

6.

ระดับ 8

* – ป.ม.

1. ได้รับเงินเดือนเต็มขั้นของระดับ 8
2. ดำรงตำแหน่งบังคับบัญชา
3. ได้ ท.ช. มาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปีบริบูรณ์ ขอ ป.ม.
4. ให้ขอได้ในปีก่อนที่จะเกษียณอายุราชการ หรือ ในปีที่เกษียณอายุราชการเท่านั้น

7.

ระดับ 9

* – ม.ว.ม.

1. ได้ ท.ช. มาแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปีบริบูรณ์ ขอ ป.ม.
2. ได้ ป.ม. มาแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปีบริบูรณ์ ขอ ป.ช.
3. ได้ ป.ช. มาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปีบริบูรณ์ ขอ ม.ว.ม.
4. ในปีที่เกษียณอายุราชการให้ขอสูงขึ้น 1 ชั้นตรา
แต่ไม่เกิน ม.ว.ม. เว้นกรณีลาออก
ลำดับที่ 7 – 9 การขอกรณีปีที่ เกษียณอายุ ราชการ ตามข้อ 4 หรือ ข้อ 5 แล้วแต่กรณีให้ขอปีติดกันได้

8.

ระดับ 10

* – ม.ป.ช.

1. ให้เลื่อนชั้นตราได้ตามลำดับทุกปีจนถึง ชั้น ป.ม.
2. ได้ ป.ม. มาแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปีบริบูรณ์ ขอ ป.ช.
3. ได้ ป.ช. มาแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปีบริบูรณ์ ขอ ม.ว.ม.
4. ได้ ม.ว.ม. มาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปีบริบูรณ์ ขอ ม.ป.ช.
5. ในปีที่เกษียณอายุราชการให้ขอสูงขึ้น 1 ชั้นตรา
แต่ไม่เกิน ม.ว.ม. เว้นกรณีลาออก

9.

ระดับ 11

* – ม.ป.ช.

1. ได้ ป.ม. มาแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปีบริบูรณ์ ขอ ป.ช.
2. ได้ ป.ช. มาแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปีบริบูรณ์ ขอ ม.ว.ม.
3. ได้ ม.ว.ม. มาแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปีบริบูรณ์ ขอ ม.ป.ช.
4. ในปีที่เกษียณอายุราชการให้ขอสูงขึ้น 1 ชั้นตรา เว้นกรณีลาออก

5. การบริหารลูกจ้างประจำและพนักงานราชการ

การปรับระดับชั้นงานของลูกจ้างประจำ ส่วนราชการสามารถปรับระดับชั้นงานของตำแหน่งลูกจ้างประจำ จากระดับ 1 เป็นระดับ 2 เป็นระดับ 3 หรือจากระดับ3 เป็นระดับ 4 โดยปฏิบัติตามหนังสือสำนักงาน ก.พ. ด่วนที่สุด ที่ นร 1008/ว14  ลงวันที่ 31 มีนาคม  2553

วิทยาลัยฯ  ได้ดำเนินการปรับระดับชั้นงานของลูกจ้างประจำ จากระดับ ส.1 เป็นระดับ ส. จำนวน  7  ราย   และเปลี่ยนตำแหน่งใหม่ 2 ราย  เสร็จเรียบร้อยแล้ว และได้รับการปรับค่าจ้างแล้ว จำนวน 7 ราย  การเปลี่ยนตำแหน่งใหม่ของลูกจ้างประจำ  เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้แก่ลูกจ้างประจำ ทำให้มีความกระตือรือร้นและตั้งใจในการปฏิบัติงานมากขึ้น มีความมั่นคงในชีวิต

1. ระบบพนักงานราชการ  บุคคลซึ่งได้รับการจ้างตามสัญญาจ้างโดยได้รับค่าตอบแทนจากงบประมาณของส่วนราชการ เป็นพนักงานของรัฐในการปฏิบัติงานให้กับส่วนราชการ

พนักงานราชการ มี 2 ประเภท คือ  1. พนักงานราชการทั่วไป  ปฏิบัติงานในลักษณะเป็นงานประจำทั่วไปของส่วนราชการในด้านการบริการ งานเทคนิค งานบริหารทั่วไป งานวิชาชีพเฉพาะและงานเชี่ยวชาญเฉพาะ

2. พนักงานราชการพิเศษ ปฏิบัติงานในลักษณะที่ต้องใช้ความรู้หรือความเชี่ยวชาญสูงมากเป็นพิเศษ เพื่อปฏิบัติงานในเรื่องที่มีความสำคัญและจำเป็นเฉพาะเรื่องของส่วนราชการ

สิทธิประโยชน์การลาของข้าราชการ ลูกจ้างประจำ พนักงานราชการ และพนักงานกระทรวงสาธารณสุข

สิทธิ

ข้าราชการ

ลูกจ้างประจำ

พนักงานราชการ

ลูกจ้างชั่วคราว

พนักงานกระทรวง สธ.

ลาป่วย(ตามที่ป่วยจริง)

60

60

30

8  (6เดือน)

15 (ปีถัดไป)

45

ลาคลอด

90

90

90

90

90

ลากิจ

45

45

10

-

15 (ปีแรก

6 วัน)

ลาพักผ่อน

10 (6 เดือน)

10 (6 เดือน)

10 (6 เดือน)

10 (6 เดือน)

10 (6 เดือน)

ลาอุปสมบทหรือลาประกอบพิธีฮัจย์

120

120 (1 ปี)

120 (4 ปี)

/

(แต่ไม่ได้รับค่าจ้างระหว่างลา”

120 (4 ปี)

ติดตามคู่สมรส

/

/

-

-

-

ลาศึกษา

/

/

-

-

/ (2 ปี)

อบรม ดูงาน วิจัย

/

/

/

/

/

 

สรุปจากกาอบรมเรื่องความรู้พื้นฐานด้านการบริหารงานบุคคล สำหรับผู้ปฏิบัติงานใหม่  ปีงบประมาณ  2558   วันที่ 12 – 16 มกราคม 2558 ณ โรงแรมเดอร์ริช  : ขวัญหฤทัย บุญสำราญ สุทัศน์  เหมทานนท์

(2816)

Comments are closed.