ผู้บันทึก : นางเกษร ปิ่นทับทิม และคณะ | |
กลุ่มงาน : กลุ่มวิชาการพยาบาลและอนามัยชุมชน | |
ฝ่าย : ฝ่ายวิชาการ | |
ประเภทการปฎิบัติงาน : ประชุม | |
เมื่อวันที่ : 19 ต.ค. 2554 ถึงวันที่ : 20 ต.ค. 2554 | |
หน่วยงาน/สถาบันที่จัด : โรงพยาบาลมหาราช นครศรีธรรมราช | |
จังหวัด : นครศรีธรรมราช | |
เรื่อง/หลักสูตร : “พิชิตวัย กายใจพร้อม” | |
วันที่บันทึก 6 ธ.ค. 2554 | |
|
|
รายละเอียด | |
๑) การบรรยายเรื่อง “โรคหลอดเลือดสมอง ในผู้สูงวัย” โดย ศ.พญ. นิจศรี ชาญณรงค์ ซึ่งมีสาระดังนี้ โรค หลอดเลือดสมองจะมีความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้นในอายุมากขึ้นตั้งแต่ อายุ ๔๕ ปีขึ้นไป ปัจจัยเสี่ยง มีทั้งชนิดแก้ไขได้ และแก้ไขไม่ได้ ซึ่งได้แก่ อายุมากขึ้น พันธุกรรม ความดันโลหิตสูง เบาหวาน การสูบบุหรี่ ไขมันในเลือดสูง รอบเอวสูง การวินิจฉัยจากอาการ จะเป็นปุ๊บปั๊บพบว่าหลังตื่นนอนจะมีอาการปากเบี้ยวโดยไม่ทราบสาเหตุ พูดผิดปกติ (พูดไม่ออก ไม่รู้เรื่อง) แขนขาอ่อนแรงครึ่งซีก โดยไม่มีอาการเตือน ส่วน TIA ก็เสี่ยงต่อการเกิด Stroke สูง เมื่อผู้ป่วยมีอาการดังกล่าวควรรีบพามาโรงพยาบาลให้เร็วเพราะจะส่งผลให้การ รักษาได้ผลดี การรักษาให้ยาละลายลิ่มเลือดถ้าให้ยาเร็ว เซลล์ยังไม่ตาย พิการน้อย แต่ถ้ามาช้าสมองขาดเลือดมาก ยาละลายลิ่มเลือดก็ช่วยไม่ได้ เพราะเซลล์ตายแล้ว การตรวจเรียกว่า “Stroke Track” พบ ๓ อาการ คือ ปากเบี้ยว พูดผิดปกติ และแขนขาอ่อนแรงครึ่งซีก นอกจากการให้ยาละลายลิ่มเลือดแล้วยังต้อง General management ได้แก่ Airway ไม่ลดความดัน ลดไข้ ไม่ให้น้ำตาลในเลือดสูง Absolute bed rest ให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ การป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำโดยหาสาเหตุ ได้แก่ โรคของหลอดเลือดแข็ง มีไขมัน หลอดเลือดเล็กๆอุดตัน และหัวใจ พร้อมทั้งปรับเปลี่ยนพฤติกรรมลดการสูบบุหรี่ รับประทานข้าวขาหมู ท้ายที่สุดต้องฟื้นฟูร่างกายและจิตใจ
๒) การบรรยายเรื่อง “การดูแลผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมอย่างเป็นองค์รวม” โดย นพ.วสันต์ อัครธนวัฒน์ ซึ่งมีสาระดังนี้ โรคสมองเสื่อม เป็นโรคที่มีอาการหลงลืม สมาธิ สั้นลง การลดภาวะเสื่อมของสมองเพิ่มขึ้น โดยการกระตุ้นให้พูดคุย การทำกิจวัตรประจำวัน เบี่ยงเบนพฤติกรรม การรักษามี ๒ แบบคือการใช้ยา และไม่ใช้ยา ปัญหาของผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมมีดังนี้ ๑) การสื่อสารไม่มีประสิทธิภาพ (พูดไม่ถูกต้อง/พูดหลายภาษา) วิธีการรับมือ คือ สบตาให้รู้ว่าเรากำลังสื่อสาร เรียกชื่อ ใช้ภาษาเข้าใจง่าย ไม่ควรพูดนินทาลับหลัง ใช้คำพูดนุ่มนวลขึ้น ๒) ปัญหาการนอน นอนกลางวันมาก แก้ไขโดยการ ลดการนอนกลางวัน ทำกิจกรรมหนักๆในช่วงเช้า เที่ยง เลี่ยงกิจกรรมหนักๆมื้อเย็น ไม่ควรจัดห้องนอนใหม่บ่อยๆ งดเครื่องดื่มกระตุ้นสมอง เช่น กาแฟ ๓) อาการหลงผิดและประสาทหลอน วิธีรับมือ โดยการอย่าโต้เถียงสิ่งที่ผู้ป่วยเห็นหรือได้ยิน ให้ความมั่นใจว่าปลอดภัย เบี่ยงเบนความสนใจ ๔) หวาดระแวง วิธีรับมือ หลีกเลี่ยงการโต้เถียง บอกให้รู้ว่าเป็นใคร แสดงความรัก จับมือโอบกอด ให้ดูภาพเก่าๆ จัดเตรียมของใช้สำรองที่ผู้ป่วยใช้ประจำ เช่น แว่นตา กุญแจ ๕) พฤติกรรมก้าวร้าว วิธีรับมือ ตั้งรูปถ่ายรูปเดิมๆที่เขาชอบ ลดเสียงรบกวนในห้อง ใช้กายสัมผัส ลดเครื่องดื่มที่กระตุ้นสมอง ป้องกันตนเองจากการโดนทำร้าย ๖) การหลงทาง วิธีรับมือ ติดป้ายข้อมือมีชื่อ เบอร์โทรศัพท์ แจ้งเพื่อนบ้านรอบๆว่าถ้าเจอให้ช่วยพากลับบ้านด้วย ๗) คุ้ยหรือซ่อนของ วิธีรับมือ ให้เก็บวัตถุอันตรายให้พ้นผู้ป่วย ไม่ทิ้งอาหารค้างคืนไว้ในตู้เย็น ไปห้องไม่ให้รื้อค้น ถังขยะมีฝาปิดมิดชิด การ ปรับเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมในบ้าน โดยการแบ่งโซนความปลอดภัย ระวังพื้นเปียกจะล้มได้ พื้นต่างระดับให้ทาสีให้แตกต่างกัน ใช้สิ่งที่ผู้ป่วยคุ้นเคยเช่น ขันน้ำเดิมๆ ที่หน้าห้องให้ติดรูปผู้ป่วยไว้ ๓) การบรรยายเรื่อง “ Alzheimer’ s disease ” โดย ผศ. นพ.สุขเจริญ ตั้งวงษ์ไชย ซึ่งมีสาระดังนี้ ภาวะสมองเสื่อม (Dementia) กลุ่มอาการที่แสดงถึงความเสื่อมหรือถดถอยการทำงานของสมองพุทธิปัญญา และเชาว์ปัญญา ความ ผิดปกติของความจำ มีการเปลี่ยนแปลงของบุคลิกภาพ อารมณ์เปลี่ยนแปลง แปรปรวน มีปัญหาพฤติกรรม การเคลื่อนไหว ก่อให้เกิดปัญหาในการดูแลตนเองและหน้าที่การงาน เป็นภาระแก่ครอบครัวและผู้ดูแล โรคสมองเสื่อมชนิดอัลไซเมอร์ เป็นอาการสมองที่เกิดขึ้นเองเนื่องจากความชราภาพ มักเกิดขึ้นหลังอายุ ๖๕ ปี ไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด ปัจจัยเสี่ยงได้แก่ อายุที่มากขึ้น เป็นเพศหญิง พันธุกรรมและครอบครัว ** การศึกษาสูงเนื้อสมองมาก เกิดภาวะสมองเสื่อมน้อย การพยายามใช้สมองจะทำให้สมองไม่เสื่อม ** ปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และไขมันสูง ปัจจัยปกป้องการออกกำลังกายเป็นประจำ รับประทานปลาโอเมก้า ๓ (ปลาทู) ระยะต่างๆของโรคมีดังนี้ ๑) ระยะเริ่มต้น : มีอาการหลงลืม หลงทิศทาง อารมณ์แปรปรวน ๒) ระยะรุนแรงปานกลาง : ความ จำเสื่อมเรียนรู้สิ่งใหม่ๆไม่ได้ อารมณ์เศร้า ปัญหาพฤติกรรม ปัญหาการนอน อาการหลงผิด ประสาทหลอน บุคลิกภาพเปลี่ยนแปลง ๓) ระยะรุนแรงมาก : มีปัญหาภาษา การขับถ่าย ระดับการ รู้สติ การ เคลื่อนไหว อาการของโรคสมองเสื่อมมีดังนี้ หลงลืม ความสามารถของพุทธิปัญญาบกพร่อง ปัญหาพฤติกรรม เช่น วิตกกังวล ภาวะซึมเศร้า หลงผิด หูแว่ว ประสาทหลอน สับสน ก้าวร้าว กระสับกระส่าย หงุดหงิดง่าย ส่วนปัญหาทางระบบประสาท ตัวแข็งเกร็ง กลั้นปัสสาวะ อุจจาระไม่ได้ กลืนลำบาก สำลัก เดินไม่ได้ นอนบนเตียง สื่อสารด้วยภาษาไม่ได้ การดำเนินของโรค จะ เริ่มต้นเมื่ออายุ มากกว่า ๖๐ ปี แล้วอาการจะเสื่อมลงเรื่อยๆ อาการรุนแรงภายใน ๕ ปี และจะเสียชีวิตด้วยสาเหตุการติดเชื้อ ปอดบวม ขาดสารอาหาร และขาดน้ำ ซึ่งระยะต่างๆของโรค การวินิจฉัย การซักประวัติ (ผู้ป่วยไม่รู้ตัวว่าสมองเสื่อมมักบอกว่าความจำไม่มีปัญหา) การตรวจร่างกาย/ระบบประสาท การตรวจสภาพจิต การตรวจ cognitive function การตรวจคัดกรองด้วยแบบทดสอบทางจิตประสาท และการส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ ผลที่ ตรวจ พบคือ ความเสื่อมของระดับเชาว์ปัญญา และพุทธิปัญญา อาการเสื่อมค่อยเป็นค่อยไป ทวีความรุนแรงตามกาลเวลา อาการเริ่มต้นในช่วงอายุ ๔๐- ๖๐ ปี ไม่พบสาเหตุเนื่องจากโรคทางกายหรือโรคระบบประสาทอื่นๆ การรักษา ๑) การใช้ยา ยาที่ใช้ในการบำบัดได้แก่ ยาปรับความจำ ยาจิตประสาทปรับพฤติกรรม ยาต้านอาการทางจิต ยาต้านเศร้า ยานอนหลับ ยาปรับอารมณ์ /ความก้าวร้าว ยาป้องกันอนุมูลอิสระ วิตามิน E, B, C ฮอร์โมน เพศหญิง ยาลดไขมัน และยารักษาปัจจัยเสี่ยงหลอดเลือดตีบตัน ๒) การจัดการกับปัญหาพฤติกรรม (กำหนดพฤติกรรมที่เป็นปัญหา มองหาสิ่งกระตุ้นและผลที่เกิดจากสิ่งกระตุ้น วางแผนการจัดการกับปัญหาและสิ่งกระตุ้น ดำเนินการตามแผน ประเมินผลและปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ปัญหา ในชีวิตประจำวันที่พบได้แก่ ปัญหาความจำ การติดต่อสื่อสาร ภาษา ที่พัก ห้องน้ำ สุขอนามัย การแต่งกาย อนามัยช่องปากและฟัน อาหารและน้ำ การเคลื่อนไหว และการออกกำลังกาย นอกจากนั้น ปัญหาที่ควรปรึกษาแพทย์ คือ หกล้ม มีไข้ เป็นหวัด ปอดบวม แผลกดทับ ไม่รับประทานอาหารและน้ำ ท้อง ผูก ชัก เกร็งกระตุก การให้ยาหรืออาหารเสริม และอาการแย่ลงอย่างเฉียบพลัน การดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อม นั้นต้องหาผู้ช่วย ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ มีความรู้เข้าใจโรคของผู้ป่วย รู้จักปรับตัว มองโลกในแง่ดี ใจเย็น อดทน สับเปลี่ยนเวรเจ้าหน้าที่ หาเวลาพักผ่อนคลายเครียด คำนึงถึงคุณภาพชีวิต ประเด็นสำคัญที่ต้องดูแลได้แก่ การช่วยเรื่องความจำ การพูดคุยสื่อสาร ปัญหาการขับถ่าย พฤติกรรมก้าวร้าว /วุ่นวาย พฤติกรรมทางเพศไม่เหมาะสม และผู้ป่วยซึมเศร้า ประสาทหลอน หลงผิด ปัญหาการนอน การขับถ่าย เป็นต้น ๔) การบรรยายเรื่อง “ Alzheimer’ s disease ” โดย ศ.พญ.ทรงขวัญ ศิลารักษ์ ซึ่งมีสาระดังนี้ Acute coronary syndrome กับอาการเจ็บหน้าอกที่ไม่คงที่ (Unstable angina) ถี่ ขึ้นบ่อยขึ้น แสดงว่าเป็นอาการของกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ผู้ป่วยจะมาพบแพทย์ด้วยอาการเจ็บหน้าอกตอนออกแรง ยกของ เดินขึ้นบันได หรือมีการเจ็บครั้งใหม่ เจ็บถี่ขึ้น /นานขึ้นจากเดิม เจ็บขณะนอนพัก ถ้าเป็น Acute MI จะเจ็บหน้าอกมากกว่า ๑/๒ ชม. EKG Change (ST elevate) ซึ่งอาการดังกล่าวเสียชีวิตสูงมาก อาการเจ็บหน้าอกที่ไม่คงที่ (Unstable angina) ในผู้สูงวัยอายุมากกว่า ๖๐ ปี มักพบอาการ เจ็บหน้าอก เหมือนมีกล่องหนักๆทับที่หน้าอก แสบ หน้าอก ปวดจุกแน่นที่หน้าอกบริเวณลิ้นปี่ เจ็บร้าวไปที่ฟัน ปวดฟัน ปวดคอ ปวดกราม ร้าวไปหลัง ปวดเหมือนผ้าพันคอรัดแน่น เหงื่อแตกท่วมตัว วู๊บๆ คลื่นไส้อาเจียน, มีอาการเหนื่อย (ภาวะหัวใจล้มเหลว) ญาติมักจะนำผู้ป่วยมาที่ตึก ER หลังเวลา ๐๑.๐๐-๐๒.๐๐ น. แพทย์ต้องรีบ Run EKG เพราะผู้ป่วยอาจ Suddent death ทุกราย โรคร่วมที่ควรจะนึกถึงคือ เบาหวาน เพราะมีอาการเหงื่อแตกเช่นเดียวกันแต่ผล DTX ปกติ แสดงว่าเป็น MI และโรคความดันโลหิตสูง /COPD การรักษา ให้ยาต้านเกร็ดเลือด และต้านทรอมบิน ใส่บอลลูน ฉีดสี และ ๑) Anti-ischemic therapy ได้แก่ Nitroglycerin and nitrates (อมใต้ลิ้น ทางปาก หลอดเลือดดำ) , Beta- blockers, Calcium Antagonists ๒) Anti- Thrombotic therapyได้แก่ Anti-Pletelets :Aspirin, Ticlopidine Anti- coagulants : Unfractionated Heparin ๓) Thrombotic agents : acute STEMI ๔) Clopidogrel ควร Refer ผู้ป่วยเมื่อ: อายุมากกว่า ๖๕ ปี, เป็นเบาหวาน (จะทำให้ Suddent death), Severe symtome pain มาก, ให้ Aspirin ตลอดเวลา , ให้ยาแล้วไม่หาย pain , EKG Change (ST elevate) และ Blood Pressure drop |
|
ความรู้ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการปฏิบัติงาน | |
การจัดการเรียนการสอนภาคปฏิบัติรายวิชาการสร้างเสริมสุขภาพ การพยาบาลครอบครัว
และชุมชน และการพยาบาลบุคคลที่มีปัญหาสุขภาพ
|
|
ความรู้ที่จะนำไปพัฒนาต่อ ? | |
การสอนภาคปฏิบัติ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบลบ้านพระเพรง และตึกผู้ป่วย อายุรกรรม ศัลยกรรม โรงพยาบาลมหาราช นครศรีธรรมราช |
(469)