แบบฟอร์มสำหรับส่งบทความเข้าคลังความรู้
วันที่บันทึก : 20 ธันวาคม 2556
ผู้บันทึก : นางสาวจตุพร ตันตะโนกิจและคณะอาจารย์จำนวน 11 คน นักศึกษาพยาบาลศาสตรบัณฑิตจำนวน 20 คน
กลุ่มงาน : กลุ่มวิชาสูติศาสตร์
ฝ่าย : วิชาการ
ประเภทการปฏิบัติงาน:ประชุม
วันที่ 2 – 3 ธันวาคม 2556
หน่วยงาน/สถาบันที่จัด : -
สถานที่จัด : ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ
เรื่อง : ประชุมวิชาการประชุมวิชาการตลาดนัดความดีสู่การพัฒนาจิตบริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ภายใต้นวัตกรรมระบบครอบครัวเสมือน เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในปีมหามงคล ๘๖ พรรษา
รายละเอียด
วันจันทร์ที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๖
หัวข้อ ปาฐกถาพิเศษ : PLC (Professional Learning Communities) สู่สถานบริการและชุมชน
โดย ศ.ดร.วิจารณ์ พานิช นายกสภามหาวิทยาลัยมหิดล
องค์ประกอบ PLC ประกอบไปด้วย การแลกเปลี่ยนคุณค่าและวิสัยทัศน์,วัฒนธรรมความร่วมมือ, มุ่งเน้นการตรวจสอบและปรับปรุงผลการเรียนรู้, การสนับสนุนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และภาวะผู้นำ,การแลกเปลี่ยนประสบการณ์การปฏิบัติส่วนบุคคล
การเรียนรู้ด้วยจิตบริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์
๑. การบริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ คือ ความรักความเมตตา,ใส่ใจข้อมูลของผู้รับบริการ,มีความคิดเชิงระบบ,ตัดสินใจได้ด้วยตนเอง
๒. สุนทรียสนทนา ประกอบด้วย มีความเท่าเทียมกัน,รับฟัง, บริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ ซึ่งสุนทรียสนทนา หมายถึง ความสามารถในการสนทนาอย่างครุ่นคิด
การสะท้อนคิด ช่วยในการทำให้เกิดการเรียนรู้ ซึ่งการใช้เวลาเป็นเงื่อนไขของการสะท้อน
คิด การสะท้อนคิดช่วยพัฒนาการเรียนรู้ ๖ ขั้น คือ สร้างความตระหนักใช้สถานการณ์กระตุ้นความรู้สึกและความคิดเห็น, ทบทวนและตระหนักถึงความรู้สึก บันทึกและแลกเปลี่ยน,ทบทวนข้อเท็จจริง เขียนบันทึก นำไปแลกเปลี่ยน,หาข้อมูลวิเคราะห์เพื่อทำความเข้าใจเหตุการณ์นั้นๆ,ปรับเปลี่ยนการเรียนรู้ ปรับมุมมอง ความคิด ซึ่งเป็นผลมาจากการเรียนรู้,ประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ใหม่
๑. การคิดเชิงระบบ ประกอบด้วย มองภาพ,แยกแยะระบบใหญ่เป็นระบบย่อยเพื่อบรรลุเป้าหมายอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
๒. การเรียนรู้ในสังคมพหุวัฒนธรรม ประกอบด้วย ความเท่าเทียมกัน,การรับฟัง,มีความคิดและนวัตกรรม,มีโครงการร่วมกัน
ข้อคิด “ เรายังชีพด้วยสิ่งที่เราได้มา แต่เรามีชีวิตได้โดยสิ่งที่เราให้”
วันอังคารที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๕๖
การจัดกระบวนการเรียนรู้สู่การพัฒนาจิตบริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ผ่านกระบวนการ PLC (Professional Learning Community)
โดย รศ.ดร.วิชัย วงษ์ใหญ่นำเข้าสู่การบรรยาย โดย การกล่าวถึงคติของบุคคล ดังนี้
“คนที่มีการศึกษา คือ คนที่มีความรักและความเกลียดอันถูกต้อง ” Lin Yutang “การเรียนแต่ไม่คิดนับว่าสูญเปล่า การคิดแต่ไม่เรียนรู้นับว่าอันตราย” ขงจื๊อ “ I am a slow walker, but I never walk.
ข้าพเจ้าเป็นคนเดินช้า แต่ไม่เคยเดินย้อนหลัง ” Abraham Lincon
“ โลกให้ความยุติธรรมกับมนุษย์ชาติ คือ เวลา” ใครบริหารเวลาไม่เป็นคนนั้นเสียเปรียบ
และวิทยากรถามที่ประชุมด้วยคำถาม ต่อไปนี้ …
- เวลาอะไรที่ดีที่สุด
- ใครที่สำคัญ ที่สุด
๓. อะไร สำคัญที่สุด
คำตอบ
๑. เวลาที่ดีที่สุดคือปัจจุบัน
๒. คนที่สำคัญที่สุดคือคนที่อยู่ข้างหน้า
๓. ภารกิจที่อยู่กับเราในขณะนี้
และวิทยากรได้สรุปจบการนำเข้าสู่การบรรยายด้วยข้อคิด
“ความสุขจากการให้ มากว่าความสุขที่เรามี ความดีความสุขในการทำงานเป็นสิ่งสำคัญ”
เค้าโครงการบรรยาย
๑.รูปแบบการจัดกระบวนการเรียนรู้สู่การพัฒนาจิตบริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ผ่านกระบวนการ PLC (Professional Learning Community)
๒. Live & Learn ในยุค ๓G
๓. Generation Meกับการเรียนรู้
๔. การเรียนรู้ด้วยจิตบริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์
๕. Soft Skills Super Mentor & Coaching
๑.รูปแบบการจัดกระบวนการเรียนรู้สู่การพัฒนาจิตบริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ผ่านกระบวนการ PLC (Professional Learning Community)
ชุมชนแห่งการเรียนรู้เชิงวิชาชีพ(Professional Learning Community: PLC
ความเป็นมืออาชีพ(Professional)
ชุมชนแห่งการเรียนรู้(Learning Community
องค์ประกอบของ PLC
๑. การแลกเปลี่ยนคุณค่าและวิสัยทัศน์ (share value and vision)
๒. วัฒนธรรมความร่วมมือ (collaboration culture)
๓. มุ่งเน้นการตรวจสอบและปรับปรุงผลการเรียนรู้ (focus on examining outcomes to improvestudent learning)
๔. การสนับสนุนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และภาวะผู้นำ (support and share leadership)
๕. การแลกเปลี่ยนประสบการณ์การปฏิบัติส่วนบุคคล (shared personal practice)
ซึ่งแต่ละองค์ประกอบจะมีความสัมพันธ์กัน
PLC การรวมกลุ่มของผู้ประกอบวิชาชีพเพื่อพัฒนาสมรรถนะเชิงวิชาชีพและคุณภาพของ
ผู้เรียนผ่านกระบวนการเรียนรู้ ร่วมมือร่วมใจ (collaborative learning) การเรียนรู้จากประสบการณ์การปฏิบัติในพื้นที่ (field) การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (sharing learning) อย่างต่อเนื่อง โดย จุดเน้นของ PLC เป็นการเรียนรู้ร่วมกัน มากกว่าการสอน(focus on learning rather than on teaching) การทำงานร่วมกัน (work collaborative) ความรับผิดชอบต่อตนเอง (self – accountable)
การสร้างวิสัยทัศน์ร่วม (Shared Vision) ต้องการสนับสนุนให้เกิดความมุ่งมั่นในระยะยาว (Long term Commitment)วิสัยทัศน์ร่วมเป็นแรงผลักดันภายในจิตใจของแต่ละคนแรงปรารถนาส่วนบุคคลShared Vision คุณค่าที่เป็นจริงและเห็นร่วมกันเป็นวิสัยทัศน์ที่มีชีวิตภายในองค์กร
ทุกคนล้วนมีวิสัยทัศน์ส่วนตน (Personal Vision) คือ ต้องตระหนักรู้ชัดว่าตนเองต้องการอะไรอยากเป็นอะไร วิสัยทัศน์มีความหมายลึกกว่า เป้าหมาย (Goal) หรือวัตถุประสงค์ (Objective) วิสัยทัศน์เป็นเป้าหมายที่ชัดเจนเป็นรูปธรรมที่ต้องบรรลุได้ มีความใฝ่ฝันที่จะต้องบรรลุให้ได้ เมื่อรู้ความปรารถนาสูงสุดของตนที่จะไปให้ถึงแล้ว ความมุ่งมั่นพัฒนาตน หรือศักยภาพในการพัฒนาตน เพื่อไปสู่อนาคตที่พึงปรารถนานั้นเป็นสิ่งสูงสุด คนเราไม่ได้เรียนเพื่อเรียน แต่เรียนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายบางอย่าง
การสร้างวิสัยทัศน์ร่วม (Shared Vision) การกำหนดวิสัยทัศน์ร่วมกัน จะเป็นบรรยากาศของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างแท้จริง จะทำให้เห็นศักยภาพและพลังของผู้อื่น
๒. Live & Learn ในยุค ๓G
๓. Generation Meกับการเรียนรู้
“Less Time Teaching More Time Learning”
นวัตกรรมเชิงเทคโนโลยี(Technological Innovation)
นวัตกรรมเชิงความคิด (Ideological Innovation)
PLC มีการกำหนดเป้าหมายร่วม สอนน้อย เรียนรู้มาก (teach less learn more) การเรียนภายในภายนอกห้องเรียน ให้เกิดแนวคิดใหม่ การคิดวิเคราะห์ สร้างแรงบันดาลใจ สร้างความมุ่งมั่นเพื่อการแสวงหาความรู้ เน้นคุณภาพและประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น
การสอนให้น้อย…เรียนรู้ให้มาก (Teach Less Learn More: TLLM)มีกรอบแนวคิด ๓ประเด็น คือ
๑.เหตุผลของการจัดการเรียนรู้ (why we teach) : เพื่อตอบสนองความแตกต่างของแต่ละบุคคลให้ได้มากที่สุด ให้ตรงตามต้องการสนใจ แรงบันดาลใจ จะช่วยผู้เรียนให้เกิดแนวคิด เกิดการเรียนรู้ในสาระสำคัญของสิ่งที่เรียน กระตุ้นผู้เรียนให้ใช้ศักยภาพของตนในการเรียนรู้และเตรียมผู้เรียนไปสู่การดำรง
ชีวิตในอนาคต มากกว่าการทดสอบต่างๆ
๒. สิ่งที่จัดการเรียนการรู้ (what we teach) คุณภาพของผู้เรียน ดึงศักยภาพ ความอยากรู้
ความเชื่อมั่นในตนเอง การคิดวิจารณญาณ กระบวนการเรียนรู้ ค่านิยม เจตคติ และระบบคิดที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต การตั้งคำถามเพื่อนำไปสู่การเรียนรู้เพิ่มมากขึ้น
๓. วิธีการจัดการเรียนรู้ (how we teach) เชื่อมโยงสิ่งที่จัดการเรียนรู้ไปสู่การลงมือปฏิบัติ
เอื้ออำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ แนะนำเป็นตัวแบบ ให้ผู้เรียนเกิดแรงจูงใจในการเรียนรู้ยอมรับความแตกต่างระหว่างบุคคลของผู้เรียน ปรับเปลี่ยนวิธีการจัดการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับผู้เรียนรายบุคคลประเมินผลการเรียนรู้เพื่อการปรับปรุงและพัฒนาและส่งเสริมจิตใจนวัตกรรม (spirit of innovation) การประกอบกิจการ ความกล้าหาญในการสร้างสิ่งใหม่ ( นวัตกรรมสอนน้อย…เรียนรู้ให้มาก less time teach more time learn นวัตกรรมเข้าถึงเทคโนโลยี)
ลักษณะของ Generation M (Millennial)มองตนเองสำคัญที่สุด เป็นศูนย์กลางของทุกสิ่งทุกอย่าง มีความมั่นใจมากเรียนรู้ได้รวดเร็ว พร้อมที่จะปรับตัวเข้ากับโลก ความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีมองโลกในแง่บวก มีความคิดสร้างสรรค์เป็นนักปฏิบัติที่ดี สามารถแก้ปัญหาได้
มุมมองหนึ่งเป็นเรื่องที่มีคนกล้าคิดออกมาให้คนอื่นๆ เห็นบางเรื่องเข้าท่า ช่วยไปทดลองทำ
เกิดผลเปลี่ยนแปลงทางที่ดีขึ้น อีกมุมหนึ่งความเห็นจำนวนไม่น้อยเป็นเครื่องมือเลือกใช้เพื่อสร้างความเป็นฉันเพื่อให้คนมาหลงใหลมากขึ้น
กำลังใหญ่คับโลก Online เป็นผลมาจากปฏิกิริยาทางเคมีทางวิทยาศาสตร์ “เทคโนโลยี” เป็นตัวเร่งที่ก่อให้เกิดปฏิกิริยานำไปสู่ผลลัพธ์อย่างรวดเร็ว ด้วยพื้นที่เปิดกว้างและอิสระใครอยากทำอะไรก็ทำได้เต็มที่ ทำให้โลก Online เป็นแหล่งบ่มเพาะสร้าง Gen Me ออกมาจำนวนมาก
การอยู่ร่วมกับ Generation M
๑.ให้อิสระในการควบคุมตารางงานของตนเอง
๒.กำหนดเกณฑ์และหลักในการพิจารณาที่ชัดเจน
๓.ยืดหยุ่นสถานที่ทำงาน โดยเข้าอินเทอร์เน็ต เฟสบุ๊ค ยูทูป เวปไซต์ต่างๆ เพื่อค้นหาข้อมูล ไอเดีย แรงบันดาลใจ การติดต่องานผ่านสมาร์ทโฟนตามที่ตนถนัด เพื่อผลงานที่มีคุณภาพ
๔.Update เติมความรู้ให้อย่างสม่ำเสมอ
๕.Gen M กลัวมากที่สุด คือ ความล้าสมัย
๖.การใช้ภาษาอังกฤษ เทคโนโลยี เพื่อนำมาใช้ในการทำงานให้มีประสิทธิภาพ
๗.เปิดพื้นที่ให้แสดงความคิดเห็น แต่ไม่จำเป็นต้องทุกเรื่อง
๘.การเข้าถึงบุคคลที่สามารถตัดสินใจในการแก้ปัญหาเพราะต้องการคำตอบที่แก้ปัญหาได้
จริง
๙.การให้อำนาจ (empower) ในขอบข่ายหน้าที่ความรับผิดชอบ
๑๐.การควบคุมคุณภาพและความสมบูรณ์ของผลงาน
๔. การเรียนรู้ด้วยจิตบริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์
วิทยากร รศ.ดร.วิชัย วงษ์ใหญ่และดร. ดร.มารุต พัฒผล ด้นำเสนอ รูปแบบ การจัดการเรียนรู้ รูปแบบสมมติฐาน (hypothesis model) การบูรณาการพัฒนาการคิดเชิงระบบโดยใช้กระบวนการเรียนรู้ด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ ดังรายละเอียด
รูปแบบสมมติฐาน (hypothesis model) การบูรณาการพัฒนาการคิดเชิงระบบโดยใช้กระบวนการเรียนรู้ด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์
การเรียนรู้ด้วยจิตบริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ คุณลักษณะผู้เรียน
๑. การบริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ ๑. การเรียนรู้อย่างมีความสุข
๒. สุนทรียสนทนา ๒. การคิดเชิงระบบ
๓. การคิดเชิงเป็นระบบ ๓. จิตบริการด้วยหัวใจความ
๔. การเรียนรู้ในสังคมพหุวัฒนธรรม เป็นมนุษย์
คุณลักษณะของผู้เรียน
๑. การรับฟังอย่างลึกซึ้ง
๒. การมีส่วนร่วม
๓. ความเท่าเทียม
๔. การคิดเชิงระบบและนวัตกรรมสุขภาพ
๑.การบริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์
๑.ความรักความเมตตา
๒.ใส่ใจข้อมูลของผู้รับบริการ
๓.มีความคิดเชิงระบบ
๔.ใช้กระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (คิด ทำ ตัดสินใจ)
๕.ตัดสินใจได้ด้วยตนเองผู้นำ ต้องเสียสละ มีศรัทธา และ มองภาพรวม =สู่การคิดเชิงระบบ
คิด เพื่อตนเอง สังคมรอบข้าง (ครอบครัว คิดถึงสังคมมากขึ้น )
ความเหลื่อมล้ำทางปัญญาและโอกาสยังมีมากในสังคมไทยเมื่อความจำเป็นพื้นฐานได้รับการตอบสนองในระดับหนึ่งแล้ว ประชาชนจะสนใจเรื่อง “สิทธิ” และ “ความเท่าเทียม” มากขึ้น และยังมีปัญหาความไม่เป็นธรรมแฝงเร้นอยู่ในระบบอีกจำนวนมาก ที่ยังไม่ได้รับการดูแล ปัญหาความไม่เป็นธรรมเป็นปัญหาเชิงระบบที่กระทบถึงรากฐานคุณธรรม จริยธรรมของสังคม การปะทุของปัญหาจะเกิดขึ้นในวันใดวันหนึ่งดังนั้นจึงต้องนำกระบวนการเรียนรู้ การบริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ มองภาพรวม ลดทอนความคิดถึงตัวเองลงและกลับมาคิดถึงคนรอบข้าง คิดถึงครอบครัว คิดถึงสังคมมากขึ้น โดยไม่ต้องให้ใครมาสอนจริยธรรม
ลงพื้นที่ศึกษา : ประเด็น ข้อมูล ความเชื่อมโยง ตัวแสดง พื้นที่ ธรรมชาติของพื้นที่ แผนที่เดินดิน
ใช้สติและการวิเคราะห์พูดอะไรต้องรู้จริง ไม่ใช่แค่รู้ แล้วก็พูด ความรับผิดชอบต่อการกระทำ
การเรียนรู้ด้านในเป็นคุณภาพ และคุณค่าที่แท้จริง
ทำความดีด้วยความเพียรเมล็ดพันธุ์แห่งความดี ดอกไม้แห่งความสุข
๒. สุนทรียสนทนา
๑. มีความเท่าเทียมกัน
๒. การรับฟังอย่างลึกซึ้ง
๓. การเฝ้าดูจิตใจและความคิดที่เกิดขึ้น
สุนทรียสนทนา (Dialogue) คือ ความสามารถในการสนทนาอย่างครุ่นคิด และผลิดอกออกผลเป็นกระบวนการพูดจา เพื่อให้เกิดความเข้าใจซึ่งกันและกัน โดยผ่านการครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งเพื่อให้เกิดความคิดใหม่ มุมมองใหม่ ที่ผลิดอกออกผล การสนทนาแบบนี้จะทำให้แต่ละคนพยายามฟังคนอื่น และตั้งคำถามเพื่อให้เกิดความรู้ใหม่ร่วมกัน
การสร้างพื้นที่ทางสังคมใหม่ที่เอื้อต่อการคิดร่วมกันอย่างเสมอภาคการสนทนาที่นำไปสู่การคิดร่วมกัน ฟังซึ่งกันและกันโดยไม่มีการตัดสินข้อสรุปใดๆ
ความคิดที่ดี เกิดจากการฟังที่มีคุณภาพการตั้งใจฟังกัน การเข้าใจ การเทใจมารวมกัน สมาธิอยู่กับตัวเอง และเสียงที่ได้ยิน ให้ความเข้าใจกับเสียงผู้อื่น กำหนดใจรับรู้ความเงียบด้วยความรู้สึกเชิงบวก
การสะท้อนคิด(reflective thinking
- กระบวนการช่วยให้เกิดการเรียนรู้ โดยใช้การคิดผ่านประสบการณ์ที่มีผลต่ออารมณ์และความรู้สึก
- ช่วยให้บุคคลหยั่งรู้และค้นพบตนเอง
- การเขียนบันทึกการสะท้อนคิด ช่วยให้ข้อมูลเชิงประจักษ์ สำหรับการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
การใช้เวลาเป็นเงื่อนไขแห่งการสะท้อนคิด
๑. Reflection – on – action เกิดขึ้นหลังจากประสบการณ์ เป็นการมองย้อนสถานการณ์ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ดีขึ้น
๒. Reflection – in – action เกิดขึ้นในขณะที่อยู่ในสถานการณ์ ที่ไม่มีคำตอบชัดเจน
และทำให้หยุดคิด เพื่อหาทางออกแก้ปัญหาขณะทำกิจกรรม
๓. Reflection – for – action เปิดความคิดที่มุ่งจะวางแผน การแก้ไขปัญหาในอนาคต
การสะท้อนคิดช่วยพัฒนาการเรียนรู้ ๖ขั้น
๑. สร้างความตระหนัก ใช้สถานการณ์กระตุ้นความรู้สึกและความคิด
๒. ทบทวนและตระหนักถึงความรู้สึก บันทึก และแลกเปลี่ยน
๓. ทบทวนข้อเท็จจริง เขียนบันทึก นำไปแลกเปลี่ยน
๔. หาข้อมูล วิเคราะห์ เพื่อทำความเข้าใจเหตุการณ์นั้น
๕. ปรับเปลี่ยนการเรียนรู้ ปรับมุมมอง ความคิด ซึ่งเป็นผลมาจากการเรียนรู้
๖. ประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ใหม่
๓. การคิดเชิงระบบ
๑. มองภาพรวม
๒. แยกแยะระบบใหญ่เป็นระบบย่อย
๓. เพื่อบรรลุเป้าหมายอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
การคิดอย่างเป็นระบบ (System Thinking)
๑. สภาวะที่เป็นจริงของธรรมชาติมีความสัมพันธ์เป็นวงกลม
๒. แต่เรามักเห็นมันเป็นเส้นตรง เพราะกรอบความคิดแบบเชิงเส้น(Linear Thinking)
๓. ภาษาแบบเชิงเส้น เราจะเห็นเพียงการแบ่งเป็นส่วนย่อยๆ
๔. ภาษาแบบวงกลมเราจะเห็นความสัมพันธ์ระหว่างกัน
๕. ปัญหาปัจจุบันเกิดจากการแก้ปัญหาในอดีต
๖. แรงกดดันยิ่งมาก แรงต้านยิ่งเยอะ
๗. สิ่งต่างๆ ดูเหมือนจะดีในตอนต้น แต่กลับแย่ลงในตอนหลัง
๘. ทางออกง่ายๆ จะพาเรากลับมาที่เดิม
๔. การเรียนรู้ในสังคมพหุวัฒนธรรม
๑. ความเท่าเทียมกัน
๒. การรับฟัง
๓. มีความคิดและนวัตกรรม
๔. มีโครงการร่วมกัน
๕. Teach Less Learning More : TLLM
ลักษณะร่วมของการคิดเป็นระบบ สุนทรียสนทนาการบริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์
การเรียนรู้ในสังคมพหุวัฒนธรรม
๑. ความเท่าเทียม
๒. การรับฟังอย่างลึกซึ้ง
๓. การมีส่วนร่วม
๔. ความคิดเชิงระบบและนวัตกรรม
ทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ ๒๑
๑. ทักษะชีวิตและอาชีพ
๒. ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม
๓. ทักษะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเน้นการรู้เท่าทัน ICT Literacy
การจัดกิจกรรมทักษะชีวิต
มุ่งเน้นให้นักเรียน
- มีการสะท้อนคิดด้วยตนเอง (self – reflection)
- การสะท้อนคิดเป็นกลุ่ม (group reflection)
- ให้ผู้เรียนเป็นผู้คิดและจัดการเรื่องต่างๆ ด้วยตนเอง
การพัฒนาผู้เรียนสู่ความเป็นสากล
I am, I have และ I can
เพื่อผู้เรียนจะได้มีพลังตัวตน พลังสิ่งแวดล้อม สามารถจัดการตนเองได้
การทำงานร่วมกันระหว่างจิตกับกาย
ประกอบด้วย ๔ส่วน
๑. จิตสำนึก (conscious)
๒. ตัวขวางจิต (psychic barrier)
๓. จิตใต้สำนึก (subconscious)
๔. กาย (body)
การเรียนรู้
เป็นขั้นตอนแรกของทุกกิจกรรมการดำเนินชีวิตการเรียนรู้ได้ดีภายใต้ สภาวะจิตสำนึก
ที่แจ่มใส มีสมาธิ การเรียนรู้เป็นการจัดเก็บข้อมูลเข้าสู่จิตสำนึก การทำให้จิตสำนึก มีความพร้อมในการเรียนรู้ คือ การมีสมาธิ
การรับรู้ เป็นการบันทึกข้อมูลสู่จิตสำนึก เป็นขั้นตอนต่อจากการเรียนรู้ แต่ละคนมีความสามารถในการเรียนรู้แตกต่างกัน การบรรลุข้อมูลอย่างเป็นระบบ เกิดการเรียนรู้แจ้งเห็นจริง
การเกิดศรัทธา เป็นขั้นตอนจากการรู้แจ้งเห็นจริง จะเกิดเป็นภาพจินตนาการที่สอดคล้องกับข้อมูลเดิมในจิตใต้สำนึก
การไม่มีศรัทธา ทำให้ภาพในจินตนาการจากจิตสำนึกสลายตัวไป ไม่ถูกเก็บลงสู่จิตใต้สำนึก
จะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับจิตใต้สำนึก
การปฏิบัติตามศรัทธาและเห็นผลในการปฏิบัติจะเสริมพลังศรัทธา ภาพจินตนาการให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
การปฏิบัติซ้ำอย่างต่อเนื่อง จะเกิดทักษะของจิตใต้สำนึก สั่งกายได้อย่างอัตโนมัติเกิดเป็นนิสัยใหม่
๕. Soft Skill Super Mentor & Coaching
เป้าหมายของ Supper Mentor
๑. สามารถจัดการเรียนการสอนแนวใหม่
๒. สามารถชี้แนะให้ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยตนเอง
๓. พัฒนาให้ผู้เรียนสามารถคิดวิเคราะห์
๔. มีความรับผิดชอบ มีจิตสำนึกต่อสังคม
๕. รู้จักที่จะสร้างสิ่งใหม่ให้กับสังคม
พี่เลี้ยง (Mentor) หมายความว่า อยู่ห่างๆ ไม่ทำอะไรให้ บอกอย่างเดียว ให้กำลังใจ ให้เขาลงมือทำเอง เราอาจเสนอความเห็น ให้เขาไปคิดเอง วันหนึ่งเขาทำได้ เขาก็จะไม่ต้องวิ่งมาหาเรา
โค้ช (Coach) หมายความว่าการฝึกสอนให้เขาเก่ง บอกจุดด้อย จุดที่ควรปรับปรุง เราอาจจะลงมือ ทำให้ดูก่อน แล้วให้เขาทำตาม พร้อมทั้งติชม เพื่อดึงศักยภาพของเขาออกมา
ความแตกต่างระหว่าง Coaching และ Mentoring
- Coach เป็นผู้ค้นหาความสามารถของผู้ที่ได้รับการโค้ชแล้วกระตุ้นให้ใช้ความสามารถของตัวเองอย่างถูกต้อง
- Coach เริ่มที่งาน จะให้ผลในงานชัดเจน
- Mentoring เริ่มที่ใจ อาจไม่ได้รับผลตามที่คาดหวัง ชี้แนวทาง ทางเลือกสุดท้าย ผู้รับการ Mentor จะเป็นผู้ตัดสินใจเอง ทั้ง Coaching และ Mentoring คือเรื่องส่วนตัว ความดีงาม สร้างศรัทธา ความรัก ความผูกพัน
ทฤษฎีการปิ๊งแวบ
ใช้หัวใจในการทำงาน การ coaching และ mentoring
การฟังอย่างแท้จริง เขารู้สึกว่าได้สิ่งที่เขาต้องการ
ทำให้ชีวิตมีพลัง มีความชัดเจน
รู้ว่ากำลังทำอะไร สามารถดึงศักยภาพออกมา
หัวข้อ : เสวนา การประยุกต์ใช้นวัตกรรมกระบวนการเรียนรู้การสร้างชุมชนสุขภาวะ หนึ่งวิทยาลัย หนึ่งชุมชน
วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ขอนแก่น อสม นำมาอบรม เป็นตัวตัวหลักในการให้บริการ
ครอบครัวเสมือน ๒๔ครอบครัว โดยให้ขอนแก่น ผู้สูงอายุเป็นหัวใจหลัก เป็นแผนในปีนี้ ครอบครัวเสมือนจะไปดูแลครอบครัวในชุมชน มีโครงการจะขยายครอบครัวเพิ่ม ๔-๕หลังคาเรือน
วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครศรีธรรมราช เริ่มโครงการตั้งแต่ปี ๒๕๕๒ ย่างเข้าสู่ปีที่ ๕แล้ว วัตถุประสงค์คือพัฒนานักศึกษาให้มีคุณธรรม จริยธรรม และบริการสุขภาพด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ ภายในวิทยาลัยมีทั้งหมด ๒๐ครอบครัวย่อย มีอาจารย์ บุคลากร ในบ้านครอบครัว สร้างรักสร้างสุขสู่สังคม นำความสามารถไปสู่สังคมภายนอกได้ คือ คุณธรรมจริยธรรม จิตอาสา รักสิ่งแวดล้อม ใช้ระบบสุนทรียสนทนา ทำกิจกกรมร่วมกันในครอบครัว แต่ละปีจะเดินไปทีละก้าวและมั่นคง ภายในวิทยาลัยจะมีการจัดดูอาวุโสเข้าครอบครัว พี่พยาบาลบนโรงพยาบาลมหาราช นครศรีธรรมราช ร่วมเข้าครอบครัวในวิทยาลัยด้วย ได้อบรทสุนทรียสนทนา เพื่อดูแลผ่านการอบรมมาแล้ว ใช้ชุมชนนาเคียนเป็นกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งมีมุสลิม ๘๐-๙๐% ส่วนใหญ่จะเป็นผู้พิการ นอนอยู่กับที่ ขาดการดูแล จึงใช้ระบบครอบครัวเข้าไปพัฒนา มีการประสานงานกับสถานีอนามัย และองค์การบริหารส่วนตำบล โดยเริ่มแรกใช้ระบบรับสมัครอาจารย์ นักศึกษาที่สนใจ ประมาณ ๕๐-๖๐คน ดูแลผู้พิการ แบ่งนักศึกษาเข้าระบบครอบครัว๙ หมู่บ้าน ให้อาจารย์เป็นผู้ใหญ่บ้าน นักศึกษาเป็นสมาชิกของบ้าน เจ้าหน้าที่อนามัยเป็นพี่เลี้ยงแต่ละครอบครัวมีการดูแลผู้พิการ มีพันธะสัญญาร่วมกัน ดูแลแล้วดีขึ้น ได้รับการดูแล ร่วมกิจกรรมในชุมชนได้ ส่วนหนึ่งสามารถผลิตชิ้นงานได้ สร้างรายได้
วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จักกรีรัช ชุมชนสุขภาวะ อัตลักษณ์ของวิทยาลัย คือ ใช้ครอบครัวเสมือนร่วมกับรักจักกรีรัช เริ่มใช้ในปี พ.ศ.๒๕๕๑จนถึงปัจจุบัน ผอ ท่านใหม่มีแนวคิดการบูรณาการร่วมกับพันธกิจ มีนโยบาย ปรับระบบครอบครัว จาก ๒๐เหลือ ๙ครอบครัว โดยมี ปู ย่า ตา ยาย พ่อ แม่ เป็นผ้สูงอายุในครอบครัว ทำพันธะสัญญาร่วมกัน กระบวนการเข้มแข็งมากขึ้น มีการทำกิจกรรม ใช้สุนทรียสนทนาและถอดบทเรียน เก่ง ดี มีสุข คาดหวัง ของวิทยาลัยได้รับการพัฒนามากขึ้น นำไปสู่สุขภาวะชุมชนมากขึ้น
หัวข้อ สะท้อนการเรียนรู้จากการเข้าร่วมกิจกรรม ตลาดนัดความดีสู่การพัฒนาจิตบริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ภายใต้นวัตกรรมระบบครอบครัวเสมือน ครั้งที่ ๔ระหว่างวันที่ ๒-๓ธันวาคม ๒๕๕๖
จากการเข้าร่วมงานตลาดนัดความดีครั้งที่ ๔ที่ผ่านมาทั้ง๒วัน ได้มีโอกาสรร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างวิทยาลัยในสังกัดพระบรมราชชนกและหน่วยงานอื่นๆ ซึ่งตัวดิฉันเองรับหน้าที่ในการเป็นตัวแทนประจำบู๊ทของวิทยาลัย ซึ่งได้มีโอกาสพูดคุยและตอบคำถามของผู้ที่มาเยี่ยมชมบู๊ทของวิทยาลัย เกี่ยวกับความเป็นมารวมไปถึงการดำเนินกิจกรรมของวิทยาลัย ภายใต้นวัตกรรมระบบครอบครัวเสมือน ซึ่งได้รับคำชมจากผู้ที่มาเยี่ยมเยือนบู๊ท เกี่ยวกับโครงการ ๑ตำบล ๑วิทยาลัย เกี่ยวกับแนวคิดของการดำเนินโครงการที่ทางวิทยาลัยได้จัดให้มีครอบครัวอุปถัมป์เกิดขึ้นซึ่งได้รับการชื่นชมว่าถือเป็นแนวคิดที่ดี ที่ได้มีการจัดให้นักศึกษาได้ลงไปเรียนรู้วิถีชีวิตของคนในชุมชนด้วยตนเอง ซึ่งดิฉันเองได้อธิบายว่า ทั้งนี้ก็เพื่อให้นักศึกษาได้เรียนรู้ที่จะอยู่กับชุมชนและเข้าใจในชีวิตความเป็นอยู่ของบุคคลตามสภาพ ซึ่งนักศึกษาจะได้นำการเรียนรู้ในส่วนนี้มาปรับใช้ในการเรียน รวมถึงการปฏิบัติหน้าที่ของนักศึกษาพยาบาล เนื่องจากเราจำเป็นที่จะต้องอยู่ร่วมกับคนในชุมชน ซี่งตัวแทนจากวิยาลัยพยาบาล สุรินทร์ บอกว่าจะนำแนวคิดดังกล่าวนี้ไปปรับใช้ภายในวิทยาลัยของตนเอง เพราะทางวิทยาลัยพยาบาลที่สุรินทร์ ส่วนใหญ่แล้วจะทำกิจกรรมภายในวิทยาลัยเป็นส่วนใหญ่ ยังไม่ได้ดึงชุมชนเข้ามามีส่วนร่วม จึงจะนำแนวคิดเกี่ยวกับ ๑ตำลบ ๑วิทยาลัยของทางวิทยาลัยของเราไปลองปรับใช้
นอกจากนี้ยังได้มีโอการเยี่ยมชมบู๊ทอื่นๆด้วย ซึ่งมีอยู่หลายสถาบันที่มาเข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ เช่นได้เยี่ยมชมบู๊ทของมหาวิทยาลัยสยาม ซึ่งทางมหาวิทยาลัยสยามได้จัดทำโครงการภายใต้ชื่อ FAM NURSE ซึ่งเป็นโครงการที่ต่อยอดมาจากโครงการ Family Nurse ซึ่งเป็นโครงการของทางคณะพยาบาลได้จัดทำขึ้น โดยกิจกรรมของทางมหาวิทยาลัยสยามจะเป็นกิจกรรมที่ทำร่วมกับชุมชนภาษีเจริญซึ่งเป็นชุมชนที่อยู่หลังมหาวิทยาลัย ซึ่งทางนักศึกษาของมหาวิทยาลัยสยามได้จัดทำโครงการ พยาบาลประจำบ้านซึ่งจะมีนักศึกษาจากคณะพยาบาลของทางมหาวิทยาลัยประจำอยู่ในแต่ละบ้าน และยังมีโครงการที่ให้ชาวบ้านในชุมชนช่วยกันทำความสะอาดภายในชุมชน โดยทางอาจารย์และนักศึกษาได้สอนชาวบ้านในชุมชนในการทำไม้กวาดจากขวดน้ำอัดลมพลาสติก เนื่องจากมีความคงทนและเป็นการลดปริมาณของขยะภายในชุมชนอีกด้วยซึ่งนอกจากนี้ยังได้ร่วมมือกับทางสำนักงานเขตภาษีเจริญ ในการจัดส่งเจ้าหน้าที่ทำความสะอาดมาร่วมด้วยนอกจากนั้นทางมหาวิทยาลัยสยามก็ได้มีการใช้แนวคิดของครอบครัวเสมือนเช่นเดียวกัน แต่จะเป็นโครงการที่ทำขึ้นภายในคณะโดยมีอาจารย์ นักศึกษาแต่ละชั้นปีภายในครอบครัว ซึ่งจะเป็นการช่วยเหลือกันภายในครอบครัว
วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีชลบุรี ซึ่งทางวิทยาลัยได้จัดกิจกรรมโครงการ ค่ายอาสาที่ภาคอีสานขึ้น ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ทำร่วมกับชุมชนและนักเรียน ซึ่งจากการเยี่ยมชมบู๊ทและได้พูดคุยก็ได้แนวคิดในการจัดกิจกรรมร่วมกับชุมชนเพิ่มมากขึ้นและได้เยี่ยมชมบู๊ทของวิทยาลัยอื่นๆอีก เช่น วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีขอนแก่นซึ่งได้เยี่ยมชมบู๊ทและได้แลกเปลี่ยนในส่วนของการดำเนินกิจกรรมครอบครัวร่วมกัน โดยลักษณะของโครงการก็คล้ายกับวิทยาลัยของเราเอง เพราะมีการแบ่งนักศึกษา อาจารย์เป็นครอบครัวและมีชุมชนสำหรับเป็นชุมชนที่มีส่วนร่วมกิจกรรมกับวิทยาลัยด้วย
๒. ด้านทางการพัฒนาและใช้ประโยชน์
๑. สิ่งแรกเลยที่ได้รับในเรื่องของการกล้าแสดงออก การกล้าที่จะคิด กล้าที่จะแสดงความคิดเห็น เพราะเราเชื่อว่า หากเพียงแค่คุณกล้าที่จะคิด กล้าที่จะทำ เมื่อคุณอะไรอยู่ เมื่อคุณแสดงมันออกมา จะทำให้คนอื่นทราบความต้องการของคุณ จะได้ช่วยกันคิด ช่วยกันแก้ไขให้ดียิ่งขึ้น
๒. เราเชื่อว่าทุกคนมีศักยภาพ และมีความคิดที่ต่างกัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าความคิดของใครคนใดคนหนึ่งจะถูก หรือความคิดของใครจะผิด เพียงแต่เราจะได้นำมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน
๓. ได้สัมพันธภาพระหว่างเพื่อนต่างสถาบันกัน ระหว่างเพื่อนในรุ่นเดียวกัน และระหว่างรุ่นพี่รุ่นน้องกัน
๔. ได้ความสามัคคี ในเรื่องของการทำงานร่วมกันเป็นทีม เป็นหมู่คณะ
๕. ได้ฝึกทักษะการพูด การเป็นผู้ฟังและผู้พูดที่ดี
๖. นำความรู้ที่แปลกใหม่ไปพัฒนาและประยุกต์ใช้กับวิทยาลัย
๗. นำไปใช้กับการปฏิบัติงาน และในชีวิตประจำวัน สังคมและครอบครัวต่อไป
๘. ได้แนวทางการจัดกระบวนการเรียนรู้สู่การพัฒนาจิตบริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์
๙. การนำแนวคิดไปปรับใช้ในการทำงาน
๑๐.นำความรู้ไปประยุกต์ใช้เกิดนวตกรรมการบริการโดยบริการ
๑๑.ได้เห็นต้นแบบประกอบการทำความดีสามารถนำไปต่อยอดในการพัฒนาโครงการเพื่อประโยชน์แก่ส่วนรวมต่อไปได้
๑๒.นำแบบอย่างการพัฒนานวตกรรมไปปรับใช้ในการจัดกิจกรรมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างสถาบัน
๑๓.นำความรู้ที่ได้จากการประชุมไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน
๑๔.นำความรู้ไปถ่ายทอดให้ถึงบุคลากรในวิทยาลัยให้เกิดการเรียนรู้และรู้จักการให้บริการแบบจิตอาสา
๑๕.นำไปพัฒนาและนำรูปแบบไปใชัในหน่วยงานซึ่งจะเป็นโอกาสพัฒนาตนเองหลังจากได้ฟัง PLC
เห็นจุดเริ่มต้น พัฒนาจริยธรรม
๓. ปัญหาและอุปสรรค
๑. เรื่องของเวลา เริ่มตั้งแต่การออกเดินทางจากวิทยาลัย ที่ตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะออกเดินทางในเวลา ๖ โมงเช้า แต่ด้วยความที่จะทำภารกิจ ต่างๆมากมาย ตั้งแต่การขนสัมภาระ แต่อุปกรณ์ต่างๆมี่นำไปจัดนิทรรศการ ตลอดจนการเตรียมความพร้อมของรถ และความพร้อมของนักศึกษาทำให้เวลาล้าช้ากว่าที่กำหนดไว้
๒. เรื่องของการไม่ตรงเวลาในขณะที่เข้าร่วมประชุม เมื่อในที่ประชุมตกลงกันว่าหลังจากพักรับประทานอาหารกันเรียบร้อยแล้ว ให้มาพร้อมกัน แต่เมื่อถึงเวลาบางคนอาจจะยังทำภารกิจไม่เสร็จเรียบร้อย บางกลุ่มก็นั่งกันอยู่ด้านนอกหอประชุม นั่งพูดคุยกันไม่เข้ามานั่งฟัง ถือเป็นการไม่ให้เกียรติผู้พูด และไม่สามารถเป็นผู้ฟังที่ดีได้
๓. การจัดนิทรรศการในแต่ละวิทยาลัย บางซุ้มมีการจัดที่สวยงาม ดึงดูดความสนใจเป็นอย่างมาก แต่ไม่มีผู้ที่คอยให้คำบรรยาย หรือแนะนำมาเสนอ ทำให้ผู้ที่มีความสนใจ หรือต้องการจะหาความรู้ ไม่สามารถรับความรู้ได้ตามที่ต้องการ
๔. ในเรื่องของการตอบคำถามและการแสดงความคิดเห็น โดยส่วนมากที่ไปตลาดนัดความดีนั้น นักศึกษาที่ไปนั้น เป็นนักศึกษาพยาบาลศาสตรบัณฑิตชั้นปีที่๑ ส่วนใหญ่ เวลาตอบ
๕. คำถามหรือเสวนาจึงพูดได้ไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากยังขาดทั้งความรู้และประสบการณ์ในเรื่องของระบบครอบครัวเสมือน ถ้าเป็นไปได้อยากจะให้พี่ๆไปร่วมด้วยมากกว่า เพราะพี่ๆจะมีประสบการณ์มากกว่า และอาจจะแสดงความคิด ได้ดีกว่าน้องปี๑
(475)