การพัฒนาศักยภาพด้านจริยธรรมการวิจัย เพื่อพัฒนาศักยภาพด้านการวิจัยในมนุษย์

การพัฒนาศักยภาพด้านจริยธรรมการวิจัย เพื่อพัฒนาศักยภาพด้านการวิจัยในมนุษย์
ผู้บันทึก :  นางมณฑิรา มังสาทอง และคณะ
  กลุ่มงาน :  งานวิจัยและผลงานวิชาการ
  ฝ่าย :  ฝ่ายวิชาการ
  ประเภทการปฎิบัติงาน :  ประชุม
  เมื่อวันที่ : 18 ส.ค. 2554   ถึงวันที่  : 19 ส.ค. 2554
  หน่วยงาน/สถาบันที่จัด :  สถาบันพระบรมราชชนก
  จังหวัด :  สงขลา
  เรื่อง/หลักสูตร :  การพัฒนาศักยภาพด้านจริยธรรมการวิจัย เพื่อพัฒนาศักยภาพด้านการวิจัยในมนุษย์
  วันที่บันทึก  26 ก.ย. 2554


 รายละเอียด
หลักการพื้นฐานด้านจริยธรรมการวิจัย โดย นายแพทย์ปกรณ์  ศิริยง

ทำไม ต้องมีจริยธรรมในการวิจัยในคน เพราะว่าปัจจุบันบรรดานักสิทธิมนุษยชนต่าง ๆ เริ่มตื่นตัวมากขึ้น เนื่องจากในการวิจัยในอดีตที่ผ่านมามีการทำวิจัยในมนุษย์โดยไม่คำนึงถึงหลัก จริยธรรม เช่น การทำหมันชาวยิวโดยที่เขาไม่รู้ ด้วยการใช้สมุนไพรในผู้หญิง และฉีดสารพวก silvernitrate เพื่อให้เป็นหมัน ส่วนในผู้ชายถ้าไปติดต่อตามสถานที่ราชการก็จะถูกจัดให้นั่งบริเวณรังสีโดยที่เขาไม่รู้ทำให้เป็นหมันโดยไม่รู้ตัว

ตอนหลังนักสิทธิมนุษยชนเริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น จึงได้มีการจัดทำแนวทางในการวิจัยต่าง ๆ ขึ้น เช่น CIOM’S Guideline, GCP Guidelines 1995, UNAIDS Guidance 2000 และ อื่น ๆ ซึ่งต้องมีหลักจริยธรรมทั่วไปเป็นพื้นฐาน ได้แก่ หลักความเคารพในบุคคล หลักการก่อประโยชน์ และหลักความยุติธรรม นอกจากนี้การเขียน SOP (Standard Operating Procedure) เน้น ให้เขียนสิ่งที่เราทำ การได้รับความยินยอมจากอาสาสมัคร ข้อมูลที่จำเป็นสำหรับผู้ที่จะมาเป็นอาสาสมัคร หลีกเลี่ยงการจูงใจ ควรบอกผลประโยชน์ และความเสี่ยงจากการเข้าร่วมการวิจัย โดยสรุปแล้ว หลักเกณฑ์พื้นฐานทางด้านจริยธรรมในการวิจัยส่วนใหญ่จะ cover โดยหลักเกณฑ์ของ Belmont Report ดังนี้

  1. 1.                                  เคารพการติดสินใจของตัวเอง (Respect for persons) ตัวชี้วัดคือ เรามี Inform consent ในการวิจัยผู้ทำวิจัยต้องบอก Consent Process ได้ ซึ่งก็คือต้องอาศัย 3 กระบวนการ ได้แก่ 1). information 2). Comprehensive และ 3). กลับบ้านไปตัดสินใจก่อนได้แล้วค่อยมาเซนต์
  2. 2.                                                                   Beneficence ต้องมีการ Assessment of risk and benefits
  3. 3.                                                                   Justice เกี่ยวข้องกับ selection of subjects

บทบาทของ Ethic committee

  1. 1.                                                                   ดูแลเกี่ยวกับสิทธิ์ (rights), ความปลอดภัย (safety) และ ความเป็นอยู่ที่ดี (well-being) ของอาสาสมัคร
  2. 2.                                                                   ไม่ยอมให้เป้าหมายการวิจัยทำอันตรายต่อสุขภาพ ความเป็นอยู่ที่ดี และการดูแลของอาสาสมัคร

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานด้านจริยธรรม โดย นายปัญญา ทองใบ

ปัจจุบัน ยังไม่มีกฏหมายที่ใช้บังคับโดยตรงสำหรับการดำเนินการเกี่ยวกับการศึกษาวิจัย ในมนุษย์ทั้งระบบ ในประเทศไทย แต่มีพระราชบัญญัติที่ใช้บังคับเกี่ยวกับการดำเนินการศึกษาวิจัยในมนุษย์ 2 ฉบับได้แก่ พระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 ใช้ บังคับกรณีการศึกษาวิจัยในบุคคลที่เป็นผู้รับบริการสารธารณสุข ซึ่งมีบทกำหนดโทษไว้ โดยเป็นโทษทางอาญา และอีกอันหนึ่งคือ พระราชบัญญัติสุขภาพจิต พ.ศ. 2551 ใช้บังคับกรณีการศึกษาวิจัยในผู้ป่วยที่มีความผิดปกติทางจิต ซึ่งยังไม่มีบทกำหนดโทษไว้

การดำเนินงานด้านจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ มีกฎหมายที่เกี่ยวข้องดังนี้

  1. 1.                                                                   รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2550
  2. 2.                                                                   แนวทางปฏิบัติ ข้อแนะนำต่าง ๆ ขององค์กรต่างประเทศ และระหว่างประเทศ (Guidelines Guidance)

2.1                                            ข้อตกลงระหว่างประเทศ เรื่อง สิทธิพลเมือง และสิทธิทางการเมืองสากล โดยเฉพาะข้อที่ 7 บุคคล จะถูกทรมาน หรือได้รับการปฏิบัติ หรือการลงโทษที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือต่ำช้ามิได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บุคคลจะถูกใช้ในการรทดลองทางการแพทย์ หรือทางวิทยาศาสตร์โดยปราศจากความยินยอมอย่างเสรีของบุคคลนั้นมิได้

2.2                                                                                       ปฏิญญาเฮลซิงกิของแพทย์สมาคมโลก เป็น “คำประกาศหลักการทางจริยธรรมเพื่อเป็นคำแนะนำแก่แพทย์และบุคคลอื่น ๆ ที่ร่วมในการศึกษาวิจัยทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์

  1. 3.                                                                   พระราชบัญญัติและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง

3.1                                                                                       พระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2525: ข้อบังคับเกี่ยวกับจริยธรรมการศึกษาวิจัยและการทดลองในมนุษย์: ข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2549

3.2                                                                                       พระราชบัญญัติวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์ พ.ศ. 2528: ข้อบังคับสภาการพยาบาลว่าด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพการพยาบาลฯ 2550: ส่วนที่ 4 การศึกษาวิจัยและการทดลองในมนุษย์

3.3                                                                                       พระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550: มาตรา 3: หมวดที่ 1 สิทธิและหน้าที่ด้านสุขภาพ

3.4                                                                                       พระราชบัญญัติสุขภาพจิต พ.ศ. 2551: มาตรา 3: หมวด 2 สิทธิผู้ป่วย

คณะกรรมการจริยธรรมการวิจัย ต้องทำงานด้วยหลัก 4 ประการ คือ ความเป็นอิสระ ความสามารถ ความหลากหลาย และความโปร่งใส จะต้องไม่ยอมให้มีการลดหย่อนในเรื่องเหล่านี้

ประกาศสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ เรื่อง จรรยาบรรณนักวิจัย ซึ่งมีแนวทางปฏิบัติที่สำคัญดังนี้

  1. 1.                                                                   นักวิจัยต้องซื่อสัตย์และมีคุณธรรมในทางวิชาการและการจัดการ
  2. 2.                                                                   นักวิจัยต้องมีพื้นฐานความรู้ในสาขาวิชาการที่ทำวิจัย
  3. 3.                                                                   นักวิจัยต้องมีความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ศึกษาวิจัยไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่มีชีวิตหรือไม่มีชีวิต
  4. 4.                                                                   นัก วิจัยต้องเคารพศักดิ์ศรี และสิทธิของมนุษย์ที่ใช้เป็นตัวอย่างในการวิจัย ต้องไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ทางวิชาการจนต้องละเลยและขาดความเคารพในศักดิ์ศรี ของเพื่อนมนุษย์

กระบวนการขอความยินยอม ประเด็นที่ควรระวัง โดย รองศาสตราจารย์สิวลี ศิริไล

องค์ประกอบสำคัญของการขอความยินยอม ได้แก่

  1. 1.                                                                                      กระบวนทัศน์ใหม่ของการทำวิจัยที่กระทำในมนุษย์(ตัวบุคคล) ผู้วิจัยต้องทำความเข้าใจและปรับกระบวนทัศน์ใหม่ เรื่องการยินยอม(consent) โดยปัจจุบันที่ใช้เป็นสากลใช้คำว่า “การยินยอมโดยได้รับการบอกกล่าว (informed consent) คณะ กรรมการจริยธรรมจะพิจารณาว่า การยินยอมเข้าร่วมโครงการเป็นไปด้วยความสมัครใจหรือโปร่งใสหรือไม่ โดยพิจารณาจากเอกสารคำอธิบายโครงการวิจัย ดูสาระสำคัญ และภาษาที่ใช้ว่าเป็นไปตามหลักจริยธรรมของการวิจัยในมนุษย์หรือไม่
  2. 2.                                                                                      หลัก จริยธรรมสากลที่เป็นพื้นฐานของการขอความยินยอม ตัวหลักจริยธรรมที่เกี่ยวข้องกับการยินยอมโดยได้รับการบอกกล่าวมากที่สุด คือ การเคารพในความเป็นบุคคล สาระสำคัญของหลักจริยธรรมข้อนี้คือ

2.1                                                                                         ผู้วิจัยต้องตระหนักถึง “ความเป็นอิสระ เป็นตัวเองของบุคคล” (Autonomy) หมายถึงว่าต้องตัดสินใจยินยอมด้วยตนเอง โดยปราศจากการถูกจูงใจ (inducement) การบีบบังคับทั้งทางตรงและทางอ้อม (coercion) การกดดันให้จำยอม (undue) การโน้มน้าว (persuasion) และการหลอกให้เชื่อ (deception)

2.2                                                                                         สิ่งที่ผู้วิจัยพึงปฏิบัติ คือ การพูดความจริง (veracity) การอธิบายรายละเอียดโดยไม่ปิดบังซ่อนเร้น

  1. 3.                                                                                      กระบวน การขอความยินยอม ผู้วิจัยต้องรู้ว่าควรมีการวางแผนเตรียมการขอความยินยอมอย่างไรจึงจะเหมาะสม และจะต้องแน่ใจว่าผู้ยินยอมตนได้รับรายละเอียดครบถ้วนและเข้าใจอย่างชัดเจน แล้ว และไม่ควรให้ลงนามก่อนอธิบาย
  2. 4.                                                                                      รูปแบบและหัวข้อสำคัญของเอกสารคำอธิบายโครงการวิจัย
  3. 5.                                                                                      เอกสารยินยอมโดยได้รับการบอกกล่าว เอกสารนี้รูปแบบและเนื้อหาจะมีผลทางกฎหมาย สิ่งที่สำคัญ คือต้องมีการระบุว่า “ได้รับการอธิบายอย่างไม่มีสิ่งใดปิดบังซ่อนเร้น” “จะถอนตัวเมื่อใดก็ได้โดยไม่มีผลกระทบต่อตัวข้าพเจ้า/การรักษาที่ข้าพเจ้าพึงได้รับ” ข้อความที่ไม่ควรเขียนคือ “ข้าพเจ้ายินดีให้ความร่วมมือทุกประการจนจบโครงการ” เพราะเป็นการบีบบังคับ และขัดกับสิทธิที่จะถอนตัวเมื่อใดก็ได้
  4. 6.                                                                                      ข้อ ควรคำนึงประการอื่น ๆ ได้แก่ ข้อความที่ไม่ควรใช้ เช่น ขอความร่วมมือ ควรเขียนคำว่า ขอเชิญท่านเข้าร่วมโครงการ โครงการวิจัยที่ใช้แบบสอบถาม ควรมีข้อความที่ระบุว่า “ท่านจะไม่ตอบข้อใดก็ได้ หรือจะยุติการตอบเมื่อใดก็ได้ตามความสมัครใจของท่าน” และสรรพนามที่ใช้ควรเป็นคำเดียวกันทั้งทั้งเอกสาร เช่นถ้าใช้คำว่า อาสาสมัครก็ใช้ทั้งเอกสาร
  5. 7.                                                                                      ปัญหาที่พบจากการเขียนเอกสารคำอธิบายโครงการวิจัยแก่ผู้ยินยอมตน ได้แก่ ผู้วิจัย ใช้ข้อความที่มีลักษณะปฏิเสธความรับผิดชอบ เช่น “ข้าพเจ้ายอมรับว่าผู้วิจัยได้ระวังอย่างดีแล้ว” ใช้ความคิดแทนผู้อื่น เช่น “โครงการนี้เป็นการสัมภาษณ์ที่ไม่มีผลกระทบต่ออารมณ์ ความรู้สึกของผู้ตอบแต่อย่างใด” ไม่บอกหมายเลขโทรศัพท์ส่วนตัว “ไม่อนุญาตให้บอกหมายเลขโทรศัพท์ส่วนตัวแก่ใคร ไม่อธิบายวิธีการเก็บรักษาความลับ ฯลฯ

ประเด็นทางจริยธรรมที่พบบ่อย โดยนายแพทย์กรกฎ จุฬาสมิต แบ่งเป็น ปัญหาก่อนการพิจารณา ปัญหาระหว่างการพิจารณา และปัญหาหลังการพิจารณา ดังรายละเอียดต่อไปนี้

ปัญหาก่อนการพิจารณา

นักวิจัย ขาดความรู้ทั้งทางด้านวิทยาศาสตร์ และจริยธรรม ขาด ethical mind ขาดความตระหนัก ไม่ได้มีส่วนในการพัฒนาโครงร่างการวิจัย (รับจ้างเก็บข้อมูล) เขียนโครงร่างการวิจัยไม่เป็น ไม่รู้ว่าต้องส่ง EC / ไม่รู้ว่าต้องส่ง EC ที่ไหน

คณะ กรรมการจริยธรรม มีโครงสร้างที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน ไม่มีคุณภาพ ขาดความรู้ ขาดการฝึกอบรม ขาดประสบการณ์ การประชุมไม่สม่ำเสมอ ไม่มี SOP ไม่ได้รับการสนับสนุน ขาดบุคลากร ขาดงบประมาณ

ปัญหาหลังการพิจารณา

นักวิจัย ไม่ปฏิบัติตามโครงการวิจัยที่ได้รับอนุมัติ ไม่รายงาน SAE, deviation ไม่ขออนุมัติ protocol mendment

อาสา สมัคร ไม่ทราบสิทธิของตนเองในการเข้าร่วมการวิจัย เกรงใจ ไม่กล้าเรียกร้อง เมื่อถูกละเมินสิทธิ ไม่ทราบช่องทาง วิธีการในการเรียกร้องสิทธิ

คณะ กรรมการจริยธรรม ไม่ระบุวันหมดอายุในใบอนุมัติ ไม่ตรวจสอบ/ติดตาม การดำเนินการวิจัย ไม่สนใจ/เพิกเฉย ต่อข้อมูลที่ได้รับรายงาน เกรางใจ/ไม่กล้าตัดสินใจ ดำเนินการในการป้องกันอาสาสมัคร

ปัญหาเชิงระบบ

ไม่ มีระบบในการตรวจติดตามโครงการวิจัย ไม่มีช่องทางในการรับแจ้งข้อร้องเรียน สอบถามสิทธิ ไม่มีกฎหมายเฉพาะ(พรบ. การวิจัยในมนุษย์) ขาดการบังคับใช้กฎหมาย/ระเบียบ/ข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง ขาดระบบในการให้ความรู้แก่ผู้เกี่ยวข้อง ขาดระบบในการดูแล/เยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบจากการวิจัย ขาดระบบในการคัดกรองผลงานที่จะนำเสนอ

แนวทางการป้องกัน/แก้ไข

สร้าง ให้มีความตระหนักแก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ให้ความรู้ ทำความเข้าใจแก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง สร้างระบบในการส่งเสริม สนับสนุน ควบคุม กำกับให้มีการปฏิบัติงานวิจัยที่ถูกต้อง มีระบบในการติดตามประเมินผล

 


   ความรู้ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการปฏิบัติงาน
 

จาก การประชุมครั้งนี้ทำให้รับทราบเกี่ยวกับจริยธรมในการวิจัยในมนุษย์ หลักการขอความยินยอมให้อาสาสมัครเข้าร่วมงานวิจัย และการเขียนเอกสารประกอบการขอความยินยอมด้วยความโปร่งใส รวมทั้งสามารถนำความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ในการเป็นคณะกรรมการจริยธรรม เกี่ยวกับงานวิจัยในการพิจารณาโครงร่างการวิจัย เพื่อให้เกิดการวิจัยที่มีคุณภาพ ถุกต้องตามหลักจริยธรรมและหลักกฎหมาย ปราศจากข้อร้องเรียนต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านสิทธิมนุษยชน


  ความรู้ที่จะนำไปพัฒนาต่อ ?
ผู้ เข้าร่วมประชุมมีสมรรถนะในด้านการวิจัยมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจริยธรรมในการวิจัยในมนุษย์ สามารถเขียนโครงร่างการวิจัย และทำวิจัยได้อย่างมีคุณภาพถูกต้องตามหลักจริยธรรมและหลักกฏหมาย

(430)

การพัฒนาบุคลากรในการจัดจ้างการก่อสร้าง และการจัดซื้อครุภัณฑ์ของวิทยาลัยในสังกัด สถาบันพระบรมราชชนก ประจำปีงบประมาณ 2555

การพัฒนาบุคลากรในการจัดจ้างการก่อสร้าง และการจัดซื้อครุภัณฑ์ของวิทยาลัยในสังกัด สถาบันพระบรมราชชนก ประจำปีงบประมาณ 2555
  ผู้บันทึก :  นางสาวแสงเดือน ชูอินทร์
  กลุ่มงาน :  งานบริหารทั่วไป
  ฝ่าย :  ฝ่ายบริหาร
  ประเภทการปฎิบัติงาน :  ประชุม
  เมื่อวันที่ : 9 ก.พ. 2555   ถึงวันที่  : 10 ก.พ. 2555
  หน่วยงาน/สถาบันที่จัด :  สถาบันพระบรมราชชนก
  จังหวัด :  นนทบุรี
  เรื่อง/หลักสูตร :  การพัฒนาบุคลากรในการจัดจ้างการก่อสร้าง และการจัดซื้อครุภัณฑ์ของวิทยาลัยในสังกัด สถาบันพระบรมราชชนก ประจำปีงบประมาณ 2555
  วันที่บันทึก  16 เม.ย. 2555

 รายละเอียด
จาการที่วิทยาลัยพยาบาลฯ ได้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2555 ได้จัดสรรงบประมาณค่าครุภัณฑ์และสิ่งก่อสร้างให้กับวิทยาลัยนั้น  ดัง นั้นทางสถาบันพระบรมราชชนกจึงกำหนดให้มีการจัดทำคุณลักษณะของครุภัณฑ์ให้ เป็นมาตรฐานเดียวกัน เพื่อความสะดวกในการจัดซื้อของวิทยาลัย และมีการเตรียมความพร้อมโดยการพัฒนาบุคลากรของวิทยาลัยที่รับผิดชอบดำเนิน การเกี่ยวกับการจัดซื้อครุภัณฑ์และการจัดจ้างการก่อสร้างให้มีความรู้ ความสามารถ และทักษะที่พร้อมจะดำเนินการได้อย่างถูกต้องตามระเบียบ และทันตามแผนที่ได้กำหนดได้อย่างมีประสิทธิภาพ


   ความรู้ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการปฏิบัติงาน
สามารถ นำความรู้ที่ได้เกี่ยวกับด้านเทคนิคและกระบวนการจัดจ้างการก่อสร้างด้วยวิธี การทางอิเล็กทรอนิคส์มาใช้กับงานที่รับผิดชอบอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและ สามารถนำความรู้เกี่ยวกับการกำหนดคุณลักษณะของหุ่นจำลองฝึกทักษะด้านการตรวจ วินิจฉัยโรคและช่วยฟื้นคืนชีพขั้นสูงมาปรับใช้กับการจัดซื้อได้อย่างดี


  ความรู้ที่จะนำไปพัฒนาต่อ ?
มีความรู้เกี่ยวกับเทคนิคและกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิคส์มากยิ่งขึ้น

(308)

การพัฒนาศักยภาพด้านจริยธรรมการวิจัย เพื่อพัฒนาศักยภาพด้านการวิจัยในมนุษย์

การพัฒนาศักยภาพด้านจริยธรรมการวิจัย เพื่อพัฒนาศักยภาพด้านการวิจัยในมนุษย์
ผู้บันทึก :  นางมณฑิรา มังสาทอง และคณะ
  กลุ่มงาน :  งานวิจัยและผลงานวิชาการ
  ฝ่าย :  ฝ่ายวิชาการ
  ประเภทการปฎิบัติงาน :  ประชุม
  เมื่อวันที่ : 18 ส.ค. 2554   ถึงวันที่  : 19 ส.ค. 2554
  หน่วยงาน/สถาบันที่จัด :  สถาบันพระบรมราชชนก
  จังหวัด :  สงขลา
  เรื่อง/หลักสูตร :  การพัฒนาศักยภาพด้านจริยธรรมการวิจัย เพื่อพัฒนาศักยภาพด้านการวิจัยในมนุษย์
  วันที่บันทึก  7 ก.ย. 2554


 รายละเอียด
หลักการพื้นฐานด้านจริยธรรมการวิจัย โดย นายแพทย์ปกรณ์  ศิริยง

ทำไม ต้องมีจริยธรรมในการวิจัยในคน เพราะว่าปัจจุบันบรรดานักสิทธิมนุษยชนต่าง ๆ เริ่มตื่นตัวมากขึ้น เนื่องจากในการวิจัยในอดีตที่ผ่านมามีการทำวิจัยในมนุษย์โดยไม่คำนึงถึงหลัก จริยธรรม เช่น การทำหมันชาวยิวโดยที่เขาไม่รู้ ด้วยการใช้สมุนไพรในผู้หญิง และฉีดสารพวก silvernitrate เพื่อให้เป็นหมัน ส่วนในผู้ชายถ้าไปติดต่อตามสถานที่ราชการก็จะถูกจัดให้นั่งบริเวณรังสีโดยที่เขาไม่รู้ทำให้เป็นหมันโดยไม่รู้ตัว

ตอนหลังนักสิทธิมนุษยชนเริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น จึงได้มีการจัดทำแนวทางในการวิจัยต่าง ๆ ขึ้น เช่น CIOM’S Guideline, GCP Guidelines 1995, UNAIDS Guidance 2000 และ อื่น ๆ ซึ่งต้องมีหลักจริยธรรมทั่วไปเป็นพื้นฐาน ได้แก่ หลักความเคารพในบุคคล หลักการก่อประโยชน์ และหลักความยุติธรรม นอกจากนี้การเขียน SOP (Standard Operating Procedure) เน้น ให้เขียนสิ่งที่เราทำ การได้รับความยินยอมจากอาสาสมัคร ข้อมูลที่จำเป็นสำหรับผู้ที่จะมาเป็นอาสาสมัคร หลีกเลี่ยงการจูงใจ ควรบอกผลประโยชน์ และความเสี่ยงจากการเข้าร่วมการวิจัย โดยสรุปแล้ว หลักเกณฑ์พื้นฐานทางด้านจริยธรรมในการวิจัยส่วนใหญ่จะ cover โดยหลักเกณฑ์ของ Belmont Report ดังนี้

  1. 1.    เคารพการติดสินใจของตัวเอง (Respect for persons) ตัวชี้วัดคือ เรามี Inform consent ในการวิจัยผู้ทำวิจัยต้องบอก Consent Process ได้ ซึ่งก็คือต้องอาศัย 3 กระบวนการ ได้แก่ 1). information 2). Comprehensive และ 3). กลับบ้านไปตัดสินใจก่อนได้แล้วค่อยมาเซนต์
  2. 2.       Beneficence ต้องมีการ Assessment of risk and benefits
  3. 3.       Justice เกี่ยวข้องกับ selection of subjects

บทบาทของ Ethic committee

  1. 1.       ดูแลเกี่ยวกับสิทธิ์ (rights), ความปลอดภัย (safety) และ ความเป็นอยู่ที่ดี (well-being) ของอาสาสมัคร
  2. 2.       ไม่ยอมให้เป้าหมายการวิจัยทำอันตรายต่อสุขภาพ ความเป็นอยู่ที่ดี และการดูแลของอาสาสมัคร

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานด้านจริยธรรม โดย นายปัญญา ทองใบ

ปัจจุบัน ยังไม่มีกฏหมายที่ใช้บังคับโดยตรงสำหรับการดำเนินการเกี่ยวกับการศึกษาวิจัย ในมนุษย์ทั้งระบบ ในประเทศไทย แต่มีพระราชบัญญัติที่ใช้บังคับเกี่ยวกับการดำเนินการศึกษาวิจัยในมนุษย์ 2 ฉบับได้แก่ พระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 ใช้ บังคับกรณีการศึกษาวิจัยในบุคคลที่เป็นผู้รับบริการสารธารณสุข ซึ่งมีบทกำหนดโทษไว้ โดยเป็นโทษทางอาญา และอีกอันหนึ่งคือ พระราชบัญญัติสุขภาพจิต พ.ศ. 2551 ใช้บังคับกรณีการศึกษาวิจัยในผู้ป่วยที่มีความผิดปกติทางจิต ซึ่งยังไม่มีบทกำหนดโทษไว้

การดำเนินงานด้านจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ มีกฎหมายที่เกี่ยวข้องดังนี้

  1. 1.       รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2550
  2. 2.       แนวทางปฏิบัติ ข้อแนะนำต่าง ๆ ขององค์กรต่างประเทศ และระหว่างประเทศ (Guidelines Guidance)

2.1     ข้อตกลงระหว่างประเทศ เรื่อง สิทธิพลเมือง และสิทธิทางการเมืองสากล โดยเฉพาะข้อที่ 7 บุคคล จะถูกทรมาน หรือได้รับการปฏิบัติ หรือการลงโทษที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือต่ำช้ามิได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บุคคลจะถูกใช้ในการรทดลองทางการแพทย์ หรือทางวิทยาศาสตร์โดยปราศจากความยินยอมอย่างเสรีของบุคคลนั้นมิได้

2.2         ปฏิญญาเฮลซิงกิของแพทย์สมาคมโลก เป็น “คำประกาศหลักการทางจริยธรรมเพื่อเป็นคำแนะนำแก่แพทย์และบุคคลอื่น ๆ ที่ร่วมในการศึกษาวิจัยทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์

  1. 3.       พระราชบัญญัติและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง

3.1         พระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2525: ข้อบังคับเกี่ยวกับจริยธรรมการศึกษาวิจัยและการทดลองในมนุษย์: ข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2549

3.2         พระราชบัญญัติวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์ พ.ศ. 2528: ข้อบังคับสภาการพยาบาลว่าด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพการพยาบาลฯ 2550: ส่วนที่ 4 การศึกษาวิจัยและการทดลองในมนุษย์

3.3         พระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550: มาตรา 3: หมวดที่ 1 สิทธิและหน้าที่ด้านสุขภาพ

3.4         พระราชบัญญัติสุขภาพจิต พ.ศ. 2551: มาตรา 3: หมวด 2 สิทธิผู้ป่วย

คณะกรรมการจริยธรรมการวิจัย ต้องทำงานด้วยหลัก 4 ประการ คือ ความเป็นอิสระ ความสามารถ ความหลากหลาย และความโปร่งใส จะต้องไม่ยอมให้มีการลดหย่อนในเรื่องเหล่านี้

ประกาศสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ เรื่อง จรรยาบรรณนักวิจัย ซึ่งมีแนวทางปฏิบัติที่สำคัญดังนี้

  1. 1.       นักวิจัยต้องซื่อสัตย์และมีคุณธรรมในทางวิชาการและการจัดการ
  2. 2.       นักวิจัยต้องมีพื้นฐานความรู้ในสาขาวิชาการที่ทำวิจัย
  3. 3.       นักวิจัยต้องมีความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ศึกษาวิจัยไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่มีชีวิตหรือไม่มีชีวิต
  4. 4.       นัก วิจัยต้องเคารพศักดิ์ศรี และสิทธิของมนุษย์ที่ใช้เป็นตัวอย่างในการวิจัย ต้องไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ทางวิชาการจนต้องละเลยและขาดความเคารพในศักดิ์ศรี ของเพื่อนมนุษย์

กระบวนการขอความยินยอม ประเด็นที่ควรระวัง โดย รองศาสตราจารย์สิวลี ศิริไล

องค์ประกอบสำคัญของการขอความยินยอม ได้แก่

  1. 1.                กระบวนทัศน์ใหม่ของการทำวิจัยที่กระทำในมนุษย์(ตัวบุคคล) ผู้วิจัยต้องทำความเข้าใจและปรับกระบวนทัศน์ใหม่ เรื่องการยินยอม(consent) โดยปัจจุบันที่ใช้เป็นสากลใช้คำว่า “การยินยอมโดยได้รับการบอกกล่าว (informed consent) คณะ กรรมการจริยธรรมจะพิจารณาว่า การยินยอมเข้าร่วมโครงการเป็นไปด้วยความสมัครใจหรือโปร่งใสหรือไม่ โดยพิจารณาจากเอกสารคำอธิบายโครงการวิจัย ดูสาระสำคัญ และภาษาที่ใช้ว่าเป็นไปตามหลักจริยธรรมของการวิจัยในมนุษย์หรือไม่
  2. 2.                หลัก จริยธรรมสากลที่เป็นพื้นฐานของการขอความยินยอม ตัวหลักจริยธรรมที่เกี่ยวข้องกับการยินยอมโดยได้รับการบอกกล่าวมากที่สุด คือ การเคารพในความเป็นบุคคล สาระสำคัญของหลักจริยธรรมข้อนี้คือ

2.1     ผู้วิจัยต้องตระหนักถึง “ความเป็นอิสระ เป็นตัวเองของบุคคล” (Autonomy) หมายถึงว่าต้องตัดสินใจยินยอมด้วยตนเอง โดยปราศจากการถูกจูงใจ (inducement) การบีบบังคับทั้งทางตรงและทางอ้อม (coercion) การกดดันให้จำยอม (undue) การโน้มน้าว (persuasion) และการหลอกให้เชื่อ (deception)

2.2     สิ่งที่ผู้วิจัยพึงปฏิบัติ คือ การพูดความจริง (veracity) การอธิบายรายละเอียดโดยไม่ปิดบังซ่อนเร้น

  1. 3.                กระบวน การขอความยินยอม ผู้วิจัยต้องรู้ว่าควรมีการวางแผนเตรียมการขอความยินยอมอย่างไรจึงจะเหมาะสม และจะต้องแน่ใจว่าผู้ยินยอมตนได้รับรายละเอียดครบถ้วนและเข้าใจอย่างชัดเจน แล้ว และไม่ควรให้ลงนามก่อนอธิบาย
  2. 4.                รูปแบบและหัวข้อสำคัญของเอกสารคำอธิบายโครงการวิจัย
  3. 5.                เอกสารยินยอมโดยได้รับการบอกกล่าว เอกสารนี้รูปแบบและเนื้อหาจะมีผลทางกฎหมาย สิ่งที่สำคัญ คือต้องมีการระบุว่า “ได้รับการอธิบายอย่างไม่มีสิ่งใดปิดบังซ่อนเร้น” “จะถอนตัวเมื่อใดก็ได้โดยไม่มีผลกระทบต่อตัวข้าพเจ้า/การรักษาที่ข้าพเจ้าพึงได้รับ” ข้อความที่ไม่ควรเขียนคือ “ข้าพเจ้ายินดีให้ความร่วมมือทุกประการจนจบโครงการ” เพราะเป็นการบีบบังคับ และขัดกับสิทธิที่จะถอนตัวเมื่อใดก็ได้
  4. 6.                ข้อ ควรคำนึงประการอื่น ๆ ได้แก่ ข้อความที่ไม่ควรใช้ เช่น ขอความร่วมมือ ควรเขียนคำว่า ขอเชิญท่านเข้าร่วมโครงการ โครงการวิจัยที่ใช้แบบสอบถาม ควรมีข้อความที่ระบุว่า “ท่านจะไม่ตอบข้อใดก็ได้ หรือจะยุติการตอบเมื่อใดก็ได้ตามความสมัครใจของท่าน” และสรรพนามที่ใช้ควรเป็นคำเดียวกันทั้งทั้งเอกสาร เช่นถ้าใช้คำว่า อาสาสมัครก็ใช้ทั้งเอกสาร
  5. 7.                ปัญหาที่พบจากการเขียนเอกสารคำอธิบายโครงการวิจัยแก่ผู้ยินยอมตน ได้แก่ ผู้วิจัย ใช้ข้อความที่มีลักษณะปฏิเสธความรับผิดชอบ เช่น “ข้าพเจ้ายอมรับว่าผู้วิจัยได้ระวังอย่างดีแล้ว” ใช้ความคิดแทนผู้อื่น เช่น “โครงการนี้เป็นการสัมภาษณ์ที่ไม่มีผลกระทบต่ออารมณ์ ความรู้สึกของผู้ตอบแต่อย่างใด” ไม่บอกหมายเลขโทรศัพท์ส่วนตัว “ไม่อนุญาตให้บอกหมายเลขโทรศัพท์ส่วนตัวแก่ใคร ไม่อธิบายวิธีการเก็บรักษาความลับ ฯลฯ

ประเด็นทางจริยธรรมที่พบบ่อย โดยนายแพทย์กรกฎ จุฬาสมิต แบ่งเป็น ปัญหาก่อนการพิจารณา ปัญหาระหว่างการพิจารณา และปัญหาหลังการพิจารณา ดังรายละเอียดต่อไปนี้

ปัญหาก่อนการพิจารณา

นักวิจัย ขาดความรู้ทั้งทางด้านวิทยาศาสตร์ และจริยธรรม ขาด ethical mind ขาดความตระหนัก ไม่ได้มีส่วนในการพัฒนาโครงร่างการวิจัย (รับจ้างเก็บข้อมูล) เขียนโครงร่างการวิจัยไม่เป็น ไม่รู้ว่าต้องส่ง EC / ไม่รู้ว่าต้องส่ง EC ที่ไหน

คณะ กรรมการจริยธรรม มีโครงสร้างที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน ไม่มีคุณภาพ ขาดความรู้ ขาดการฝึกอบรม ขาดประสบการณ์ การประชุมไม่สม่ำเสมอ ไม่มี SOP ไม่ได้รับการสนับสนุน ขาดบุคลากร ขาดงบประมาณ

ปัญหาหลังการพิจารณา

นักวิจัย ไม่ปฏิบัติตามโครงการวิจัยที่ได้รับอนุมัติ ไม่รายงาน SAE, deviation ไม่ขออนุมัติ protocol mendment

อาสา สมัคร ไม่ทราบสิทธิของตนเองในการเข้าร่วมการวิจัย เกรงใจ ไม่กล้าเรียกร้อง เมื่อถูกละเมินสิทธิ ไม่ทราบช่องทาง วิธีการในการเรียกร้องสิทธิ

คณะ กรรมการจริยธรรม ไม่ระบุวันหมดอายุในใบอนุมัติ ไม่ตรวจสอบ/ติดตาม การดำเนินการวิจัย ไม่สนใจ/เพิกเฉย ต่อข้อมูลที่ได้รับรายงาน เกรางใจ/ไม่กล้าตัดสินใจ ดำเนินการในการป้องกันอาสาสมัคร

ปัญหาเชิงระบบ

ไม่ มีระบบในการตรวจติดตามโครงการวิจัย ไม่มีช่องทางในการรับแจ้งข้อร้องเรียน สอบถามสิทธิ ไม่มีกฎหมายเฉพาะ(พรบ. การวิจัยในมนุษย์) ขาดการบังคับใช้กฎหมาย/ระเบียบ/ข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง ขาดระบบในการให้ความรู้แก่ผู้เกี่ยวข้อง ขาดระบบในการดูแล/เยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบจากการวิจัย ขาดระบบในการคัดกรองผลงานที่จะนำเสนอ

แนวทางการป้องกัน/แก้ไข

สร้าง ให้มีความตระหนักแก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ให้ความรู้ ทำความเข้าใจแก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง สร้างระบบในการส่งเสริม สนับสนุน ควบคุม กำกับให้มีการปฏิบัติงานวิจัยที่ถูกต้อง มีระบบในการติดตามประเมินผล

 


   ความรู้ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการปฏิบัติงาน
จาก การประชุมครั้งนี้ทำให้รับทราบเกี่ยวกับจริยธรมในการวิจัยในมนุษย์ หลักการขอความยินยอมให้อาสาสมัครเข้าร่วมงานวิจัย และการเขียนเอกสารประกอบการขอความยินยอมด้วยความโปร่งใส รวมทั้งสามารถนำความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ในการเป็นคณะกรรมการจริยธรรม เกี่ยวกับงานวิจัยในการพิจารณาโครงร่างการวิจัย เพื่อให้เกิดการวิจัยที่มีคุณภาพ ถุกต้องตามหลักจริยธรรมและหลักกฎหมาย ปราศจากข้อร้องเรียนต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านสิทธิมนุษยชน


  ความรู้ที่จะนำไปพัฒนาต่อ ?
 

(293)

ประชุมประเมินโครงการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ประจำปี งบประมาณ ๒๕๕๓

ประชุมประเมินโครงการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ประจำปี งบประมาณ ๒๕๕๓
ผู้บันทึก :  นางจิตฤดี รอดการทุกข์
  กลุ่มงาน :  งานบริหารทั่วไป
  ฝ่าย :  ฝ่ายบริหาร
  ประเภทการปฎิบัติงาน :  ประชุม
  เมื่อวันที่ : 2 ก.พ. 2555   ถึงวันที่  : 2 ก.พ. 2555
  หน่วยงาน/สถาบันที่จัด :  สถาบันพระบรมราชชนก
  จังหวัด :  นนทบุรี
  เรื่อง/หลักสูตร :  ประชุมประเมินโครงการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ประจำปี งบประมาณ ๒๕๕๓
  วันที่บันทึก  16 เม.ย. 2555

 รายละเอียด
การประชุม ครั้งนี้จัดเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้และสรุปเกี่ยวกับผลการดำเนินงานของโครงการที่ใช้งบประมาณไทยเข้มแข็งทั้งหลักสูตรเวชปฏิบัติ  หลัก สูตรแพทย์แผนไทย โดยให้แต่ละวิทยาลัยได้พูดคุยปัญหา อุปสรรค ที่เกิดขึ้นในระหว่างดำเนินการซึ่งปัญหาส่วนใหญ่เกี่ยวกับการคัดเลือก บุคลากรเข้ารับการอบรมปัญหาเรื่องคุณสมบัติเรื่อง เขตพื้นที่ และการเลือกสถานที่อบรม เนื่องจากมีการข้ามเขตพื้นที่ทำให้คนในพื้นที่ไปอบรมไกลและในการประชุมได้ ให้ตัวแทนของผู้เข้ารับการอบรมมาพูดคุยถึงหลักสูตรที่จัด ความรู้ที่ได้รับ กระบวนการดำเนินงานของวิทยาลัยที่จัดผลคือผู้อบรมได้รับความรู้มากขึ้น มั่นใจในการปฏิบัติงาน  และพึงพอใจในการจัดการอบรม


   ความรู้ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการปฏิบัติงาน
เป็นแนวทางในการตรวจ สอบคุณภาพการฝึกอบรมบุคลากรสาธารณสุขและใช้ในการพัฒนาด้านการฝึกอบรม

(309)

ผู้บริหารทางการพยาบาลกับประเด็นความเสี่ยงทางกฎหมาย

ผู้บริหารทางการพยาบาลกับประเด็นความเสี่ยงทางกฎหมาย
ผู้บันทึก :  นางสาวภาวดี เหมทานนท์
  กลุ่มงาน :  งานวิจัยและผลงานวิชาการ
  ฝ่าย :  ฝ่ายส่งเสริมวิชาการ
  ประเภทการปฎิบัติงาน :  ประชุม
  เมื่อวันที่ : 18 ธ.ค. 2553   ถึงวันที่  : 19 ธ.ค. 2553
  หน่วยงาน/สถาบันที่จัด :  สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทย
  จังหวัด :  กรุงเทพมหานคร
  เรื่อง/หลักสูตร :  ผู้บริหารทางการพยาบาลกับประเด็นความเสี่ยงทางกฎหมาย
  วันที่บันทึก  20 ก.พ. 2554


 รายละเอียด
               หัวข้อ: คุณธรรม จริยธรรม และกฎหมายกับการบริหารการพยาบาล วิทยากร: อ.ประภัสสร พงศ์พันธ์พิศาล ประเด็นในการบรรยาย: 1) จริยธรรมในการประกอบวิชาชีพ การควบคุมผู้ประกอบวิชาชีพฯให้ปฏิบัติตามจริยธรรมแห่งวิชาชีพ – ข้อกำหนดและเงื่อนไขในการประกอบวิชาชีพฯ พ.ศ. ๒๕๕๐ •ไม่ประพฤติหรือกระทำการใดๆอันอาจเป็นเหตุให้เสื่อมเสียเกียรติศักดิ์แห่ง วิชาชีพ •ต้องรักษามาตรฐานของการประกอบวิชาชีพ •ปฏิบัติต่อผู้ป่วยหรือผู้รับบริการโดยสุภาพปราศจากการขู่เข็ญ •ไม่ประกอบวิชาชีพโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ป่วย •ไม่ออกใบรับรองอันเป็นเท็จหรือให้ความเห็นโดยไม่สุจริตในเรื่องใดๆอัน เกี่ยวกับวิชาชีพของตน •ไม่เปิดเผยความลับของผู้ป่วยเว้นแต่จะได้รับความยินยอมจากผู้ป่วย หรือเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย •ไม่ปฏิเสธการช่วยเหลือผู้ป่วยในระยะอันตราย •ไม่ประกอบวิชาชีพในที่สาธารณะเว้นแต่ในกรณีฉุกเฉิน •ไม่สนับสนุนให้ทีการประกอบวิชาชีพโดยผิดกฎหมาย 2)การคุ้มครองสิทธิผู้รับบริการด้านสุขภาพ – พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 • ม.5 สิทธิที่จะได้รับบริการสาธารณสุขที่มีมาตรฐานและมีประสิทธิภาพ •ม.6 สิทธิเลือกสถานบริการ •ม.41 สิทธิได้รับเงินช่วยเหลือเบื้องต้นจากกองทุน กรณีได้รับความเสียหายจากการรักษาพยาบาล •ม.45 กำหนดหน้าที่สถานบริการ # ให้บริการที่ได้มาตรฐานและมีคุณภาพ # ให้ความเสมอภาค อำนวยความสะดวก เคารพในสิทธิส่วนบุคคล ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และความเชื่อทางศาสนา # ให้ข้อมูลตามประกาศสิทธิผู้ป่วยโดยไม่บิดเบือน # ให้ข้อมูลชื่อแพทย์หรือผู้รับผิดชอบในการดูแลก่อนจำหน่ายผู้รับบริการ # รักษาความลับของผู้รับบริการ #จัดทำระบบข้อมูลเพื่อสะดวกต่อการตรวจสอบคุณภาพและขอรับเงินค่าใช้จ่าย – สิทธิของประชาชนในระบบประกันสุขภาพ •สิทธิในการเข้าถึงบริการสาธารณสุขที่มีมาตรฐานและมีคุณภาพ •สิทธิที่จะเลือกหน่วยบริการประจำตัว •สิทธิที่จะได้รับการบริการในกรณีฉุกเฉิน นอกเหนือจากหน่วยบริการที่ลงทะเบียนไม่จำกัดจำนวนครั้ง •สิทธิที่จะร้องเรียนเมื่อไม่ได้รับบริการตามที่กำหนดในสิทธิประโยชน์ •ความเสียหายจากการใช้บริการ •สิทธิในการมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบาย การจัดสรรงบประมาณเพื่อการบริการสาธารณสุข – พ.ร.บ. สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 แนวคิดของกฎหมาย •เน้นการป้องกันมากกว่าการรักษา • สร้างความเข้าใจในการดูแลสุขภาพ การสร้างเสริมสิ่งแวดล้อมที่น่าอยู่และสังคมที่เป็นสุข • รับรองสิทธิของประชาชนให้ได้รับการคุ้มครองสุขภาพอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม • ประชาชนมีหน้าที่ปกป้องสุขภาพตนเอง ครอบครัว และสังคม 3) การบริหารความเสี่ยงทางกฎหมาย หัวข้อ: การไกล่เกลี่ยข้อพิพาท วิทยากร: อัยการจิรวุสฐ์ สุขได้พึ่ง 1) ความหมายของการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท – กระบวนการระงับข้อพิพาทโดยมีบุคคลที่สามซึ่งเป็นคนกลางทำหน้าที่ช่วยเหลือ คู่พิพาทในการพยายามต่อรองเพื่อให้บรรลุข้อตกลงร่วมกัน – กระบวนการที่มีคู่กรณีสองฝ่ายหรือมากกว่า ซึ่งอาจเป็นบุคคล กลุ่มคน หรือกลุ่มคนส่วนใหญ่ในสังคม ร่วมกันพัฒนาข้อตกลงที่มีโอกาสเป็นไปได้ร่วมกัน เพื่อเป็นแนวทางและกฎกติกาในกิจกรรมร่วมกันของเขาทั้งหลายในอนาคต 2) ความหมายของการประนีประนอมข้อพิพาท – การที่คู่พิพาทยินยอมให้บุคคลที่สามซึ่งเป็นคนกลางที่ไม่มีอำนาจชี้ขาดทำการ ช่วยเหลือในการเจรจาไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ให้ทั้งสองฝ่ายยินยอมลดหย่อนผ่อนปรนให้แก่กันจนสามารถตกลงกันได้โดยทำสัญญา ประนีประนอมยอมความกันต่อไป 3) หลักสำคัญของการไกล่เกลี่ย – สมัครใจ – ต้องเป็นความลับ – คำรับหรือข้อเท็จจริงที่ได้ไม่อาจเป็นพยานในชั้นศาล – ผู้ไกล่เกลี่ยต้องเป็นกลาง – การฟ้องศาลไม่ทำให้การไกลเกลี่ยสิ้นสุด 4) กระบวนการไกล่เกลี่ย มี 7 ขั้นตอน ขั้นที่ 1 การเตรียมการไกล่เกลี่ย ขั้นที่ 2 การเปิดประชุมไกล่เกลี่ยนัดแรก ขั้นที่ 3 การค้นหาประเด็นข้อพิพาทและความต้องการของคู่พิพาท ขั้นที่ 4 การตรวจสอบประเด็นข้อพิพาทในการประชุมฝ่ายเดียว ขั้นที่ 5 การแก้ไขปัญหาข้อขัดแย้งในประเด็นข้อพิพาท ขั้นที่ 6 การจัดทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ขั้นที่ 7 การปิดการไกล่เกลี่ย 5) ข้อดีของการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท – สะดวกไม่เป็นพิธีรีตองมากนัก – รวดเร็วกว่าการดำเนินคดีในศาลหรือวิธีการอื่น – ประหยัดค่าใช้จ่ายในการฟ้องร้องและบังคับคดี – รักษาสัมพันธภาพระหว่างคู่พิพาทและพรรคพวก – สร้างความพึงพอใจให้แก่คู่พิพาท – รักษาชื่อเสียงและความลับส่วนตัวและทางธุรกิจของคู่พิพาท – สร้างความสงบสุขให้แก่ชุมชน สังคม และประเทศชาติ – ลดปริมาณคดีที่ขึ้นสู่ศาลและหน่วยงานอื่น อัยการ ตำรวจ บังคับคดี คุมประพฤติ – สร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมให้แก่ประเทศชาติ – เป็นประโยชน์ต่อการระงับข้อพิพาทที่มีคู่พิพาทจำนวนมาก – ลดอัตราความเสี่ยงจากการพิพากษา ชี้ขาดคดี – ใช้ในการบริการจัดการคดีของศาล


   ความรู้ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการปฏิบัติงาน
              การจัดการเรียนการสอน การใช้ในการปฏิบัติงาน


  ความรู้ที่จะนำไปพัฒนาต่อ ?
              การเรียนการสอนรายวิชากฎหมายฯ การพัฒนาบุคลากร การบริหารงาน

(437)