การวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action research)
การวิจัยเชิงปฏิบัติการหรือการปฏิบัติการและการวิจัย มีหลายความหมาย หลายรูปแบบ ดังนี้คือ
ความหมายที่ 1 การปฏิบัติการ + การวิจัย
คือ การเน้นการแก้ปัญหาบนฐานความรู้ หรือ นำด้วยการแก้ปัญหา/การพัฒนา และตามด้วยการวิจัยเพื่อสร้างความรู้บนฐานการแก้ปัญหา/ การปฏิบัติการ/การพัฒนา
ความหมายที่ 2 การวิจัย + การปฏิบัติการ
คือ การสร้างความรู้ หรือ รู้ ก่อนแล้วนำความรู้ไปใช้ในการแก้ไขปัญหา หรือ เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหา/การพัฒนา หรืออาจเรียกว่าการศึกษา-วิจัยปัญหาหนึ่งๆเพื่อให้เกิดความรู้/องค์ความรู้ ก่อน เมื่อมีความรู้-ความเข้าใจ หรือ มีองค์ความรู้เกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ หรือปัญหานั้นๆ/เรื่องนั้นๆ/กลุ่มคนนั้นๆ/ชุมชนนั้นๆ แล้วจึงทำการแก้ปัญหานั้น หรือ มีการกระทำ-การปฏิบัติการ เพื่อแก้ปัญหา/พัฒนาตามมา
ความหมายที่ 3 วิจัยไป แก้ปัญหาไป/พัฒนาไป
เป็น วงจรต่อเนื่องไม่รู้จบ หรือมีการดำเนินภารกิจทั้งสองไปพร้อมๆกัน ซึ่งอาจเป็นการดำเนินภารกิจ โดยคนละคน หรือคนละทีมกัน หรือ ทีมเดียวกัน/คนเดียวกันก็ได้ ซึ่งเป็นการวิจัยว่า ทำได้สำเร็จหรือไม่ เพราะอะไร ปัจจัยที่เกี่ยวข้องระดับต่างๆมีอะไรบ้าง เป็นต้น และจะก่อให้เกิดการแก้ไขปัญหา-กาพัฒนาแบบก้าวกระโดด (Quantum leap) ได้หรือไม่ อย่างไร ภายใต้เงื่อนไขใด ทั้งนี้ การวิจัยเชิงทดลอง เชิงเปรียบเทียบ เชิงพิสูจน์ต่างๆ ยังสามารถทำได้ แต่ต้องทำด้วยความระมัดระวัง และจะต้องมีมุมมองของผู้ถูกวิจัยด้วย (มนุษย์เป็นสิ่งที่ประณีต)
การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (Participatory action research)
การ วิจัยปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม เป็นรูปแบบของการวิจัยที่นักวิจัยมีความเกี่ยวข้องในฐานะเป็นผู้มีส่วนร่วม ในกิจกรรมส่วนหนึ่งขององค์การและการเป็นนักวิจัย เป็นการนำแนวคิดและวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพมาใช้ในการศึกษา โดยผู้ที่มีส่วนร่วมในกระบวนการวิจัยช่วยกันแสวงหารูปแบบของการพัฒนาหรือหา วิธีการแก้ปัญหา มีการพัฒนาความสำนึกในการวิเคราะห์ วิจารณ์ของผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อปรับปรุง สภาวะความเป็นอยู่และวิถีชีวิต ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงสภาพโครงสร้างและความสัมพันธ์พื้นฐานในสังคมของตนเอง ลักษณะของการวิจัยแบบมีส่วนร่วมประกอบด้วย การวางแผน การปฏิบัติ การสังเกต การสะท้อนผลการปฏิบัติ และการปรับปรุงแผนเพื่อนำไปปฏิบัติในวงจรการปฏิบัติช่วงต่อไป จนกว่าจะได้รูปแบบของการปฏิบัติงานที่น่าพึงพอใจ ซึ่งกระบวนการวิจัยต้องมีความยืดหยุ่นสูง มีความเป็นพลวัตร ไม่จำเป็นต้องเป็นการดำเนินงานเป็นเส้นตรง สามารถทำการวิจัยซ้ำๆกันได้อีก โดยพิจารณาจากผลสะท้อนกลับ ซึ่งจะเป็นข้อมูลสำคัญสำหรับการพัฒนาแผนงานและกระบวนการวิจัยในลำดับต่อๆไป
สรุป การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม คือ การแก้ไขปัญหาต่างๆ-ปัญหาหนึ่งบนฐานความรู้ หรืออาจเป็นการสร้างความรู้เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหา เป็นการดำเนินการอย่างมีส่วนร่วมในขั้นตอนต่างๆของผู้เกี่ยวข้อง
การ มีส่วนร่วม หมายถึง ร่วมทุกขั้นตอน หรือบางขั้นตอน ตั้งแต่การร่วมคิด ร่วมพูดคุย ปรึกษาหารือ ร่วมวิเคราะห์ปัญหา ร่วมวางแผน ร่วมลงมือดำเนินการ ร่วมแสวงหาหรือระดมทรัพยากรต่างๆ จนถึงร่วมรับประโยชน์ และ ร่วมประเมินผล ร่วมสร้างองค์ความรู้ ร่วมทบทวน ร่วมสรุปบทเรียน/ถอดบทเรียน ร่วมเขียน ร่วมวิพากษ์ ร่วมสร้างความรู้ใหม่บนฐานการทำงาน หรือร่วมสร้างกระบวนการขับเคลื่อน เพื่อให้เกิดการต่อยอด ขยายผล หรือการปรับเปลี่ยน เพื่อนำไปสู่วิธีคิดใหม่ๆ การสร้างองค์ความรู้ใหม่ ที่อาจช่วยแก้ปัญหาที่ประสบอยู่ให้ดีกว่าเดิม
จุดมุ่งหมายของการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม
การ วิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมมีจุดมุ่งหมายเพื่อปรับปรุงคุณภาพองค์การ ประชาชน ชุมชน และชีวิตครอบครัว โดนมีสาระที่สำคัญ คือ การใช้กระบวนการวิจัยเพื่อส่งเสริมจุดมุ่งหมายของความเสมอภาค และความเป็นประชาธิปไตย เปิดกว้างให้ผู้ที่มีส่วนร่วมในการวิจัยเกิดความร่วมมือในการตัดสินใจ มีความเห็นร่วมกันทั้งในฐานะผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับองค์การและผู้ร่วม กระทำกิจกรรมการวิจัยบนพื้นฐานของความเท่าเทียมกัน
กระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม
การวิเคราะห์ปัญหา/โจทย์ร่วมกัน มีความสำคัญเพื่อนำไปสู่พลังร่วมในการแก้ปัญหาร่วมกัน
ทั้ง นี้ปัญหามีหลายประเภท ทั้งปัญหาเชิงโครงสร้าง ปัญหาเฉพาะหน้า ปัญหาเร่งด่วน ปัญหาเฉพาะด้าน ปัญหาที่เป็นองค์รวม ปัญหาที่ส่งผลกระทบในวงกว้าง ปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อเนื่องเป็นลูกโช่ ปัญหาในห้องเรียน/โรงเรียน/โรงพยาบาล ผู้ป่วย/ผู้ป่วยเรื้อรัง ไร่นา โรงงาน องค์กร ครอบครัว ชุมชน ประชากรกลุ่มเฉพาะ เช่น วัยรุ่น ผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้สูบบุหรี่ กลุ่มคนชายขอบ เป็นต้น
การกำหนด/ตั้งคำถามที่ชัดเจน
เพื่อ ให้เกิดการสร้างพลังร่วมตั้งแต่ต้น มีความสำคัญ ตัวอย่างเช่น ปัญหาการเรียนการสอนในชั้นเรียน ปัญหาการใช้ความรุนแรงในครอบครัว ปัญหาการขาดความสมานฉันท์ในสังคม ปัญหาการขาดธรรมาภิบาลในองค์กร สิ่งเหล่านี้เราจะต้องกำหนดโจทย์ปัญหาและตั้งคำถามในเชิงบวก เช่น สภาพการเรียนการสอนที่เป็นอยู่เป็นอย่างไร ผู้เรียน-ผู้สอนจะร่วมกันทำให้การเรียนเกิดผลสัมฤทธิ์ที่ดีขึ้นได้อย่างไร หรือ ผู้เรียนจะมีความพึงพอใจสูงสุดได้อย่างไร ขั้นตอนต่างๆที่เกี่ยวข้องควรมีอะไรบ้าง เป็นต้น
การกำหนดวัตถุประสงค์แบบ AR
การ กำหนดวัตถุประสงค์จำเป็นต้องมีทั้งวัตถุประสงค์ในเชิงการศึกษา-วิจัย-การ สร้างความรู้ในภาพรวม หรือในกลุ่มเป้าหมายที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งวัตถุประสงค์ในเชิงการแก้ปัญหาหรือเชิงการพัฒนา และ/หรือ เชิงการเปลี่ยนแปลง
วัตถุประสงค์ของการวิจัยเชิงปฏิบัติการ คือ การกระทำที่จำเป็นเพื่อให้สามารถตอบโจทย์วิจัยและบรรลุความมุ่งหมายที่ต้องการ
การทบทวนแนวคิด ทฤษฎี ผลงานวิจัย
หรือ องค์ความรู้ที่มีอยู่ หรือที่เกี่ยวข้องกับปัญหาที่ต้องการแก้ไข หรือ การพัฒนาที่เผชิญหน้าอยู่ เป็นสิ่งที่ทำได้ เพราะจะช่วยทำให้รู้และเข้าใจสิ่งที่ประสบอยู่/สิ่งที่ต้องการทำในระดับ หนึ่ง แต่ควรนำไปใช้อย่างระมัดระวัง ใช้อย่างวิพากษ์ ใช้เพื่อให้เห็นแนวทางการขับเคลื่อนที่มีกลยุทธ์
เทคนิค วิธีการต่างๆ ในการเก็บข้อมูล
- การพูดอย่างไม่เป็นทางการ (Informal talk)
- การสังเกตการณ์ ทั้งแบบมีส่วนร่วมและไม่มีส่วนร่วม
- การสัมภาษณ์แบบเจาะลึก / ระดับลึก (In-depth-interview)
- การเล่าเรื่อง (Narrative)
- การประเมินรวดเร็วแบบมีส่วนร่วม (RAP)
- สุนทรียสนทนา (Dialogue)
- การสนทนากลุ่มแบบเจาะจง (Focus group discussion)
- การสัมภาษณ์กลุ่ม (Group interview)
- การศึกษาเฉพาะกรณี (Case study) –ปัจเจก องค์กร จังหวัด ประเทศ
- การศึกษาชีวประวัติชีวิตและครอบครัว (Life history/family history study)
- การศึกษาชุมชน (Community study)
เครื่องมือต่างๆในการเก็บข้อมูล
- แบบบันทึกภาคสนาม (Field note)
- แบบสอบถาม/แบบสัมภาษณ์/แบบสำรวจ
- แนวคำถามในการสัมภาษณ์ระดับลึก
- แนวคำถามในการสนทนากลุ่ม
เทคนิค/วิธีการในการสร้างกระบวนการขับเคลื่อนการสร้างพลัง การสร้างการมีส่วนร่วม การกระทำการเชิงสื่อสาร การถอดบทเรียน
- เทคนิค Appreciative Inquiry (AI)
- เทคนิค การทบทวนอดีต ปัจจุบัน และกำหนดอนาคตร่วมกัน (AIC)
- เทคนิคการค้นหาอนาคต (Future Search Conference: FSC)
- เทคนิคการทบทวนหลังการปฏิบัติ (AAR)
- เทคนิคการเป็นวิทยากรกระบวนการ
- เทคนิคการสร้าง เสริม เพิ่ม ดึงพลัง ยกระดับพลัง เช่น การให้รางวัล การกระตุ้น การผลักดัน การสนับสนุน ส่งเสริมในด้านต่างๆ
การวิเคราะห์และตรวจสอบ เพื่อยืนยันความถูกต้อง/ความน่าเชื่อถือได้ของข้อมูล
การวิเคราะห์และตรวจสอบข้อมูลแบบสามเส้า (Triangulation) ซึ่งประกอบด้วย
- Data sources Triangulation
- Methods Triangulation
- Methodologies Triangulation
- Investigators Triangulation
- Concepts/Theories Triangulation
การวิเคราะห์ข้อมูล
I รหัสได้มาจาก
- โจทย์วิจัย
- วัตถุประสงค์
- ข้อมูลพื้นฐาน
- วรรณกรรม
- ผู้รู้ในท้องถิ่น
หน้าที่ประโยชน์
- แยกแยะ จัดกลุ่ม จัดหมวดหมู่
- ค้นหาข้อมูลได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น
- เชื่อมหาข้อมูลได้ง่ายขึ้น
II การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ เป็นการต่อจิ๊กซอ (แต่ละตัวคือข้อมูลดิบ ที่ผ่านการทำรหัส จิ๊กซอแต่ละตัวก็คือ รหัส) Approach ที่ใช้ Inductive approach (อุปมาน/อุปนัย)
- ข้อมูลดิบ (raw data, empirical evidence)
- การแปลงข้อมูลดิบให้เป็นแนวคิด (concept) ผ่านกระบวนการวิเคราะห์ข้อมูล
- เชื่อมร้อยแนวคิดที่สัมพันธ์กันเอามาไว้ด้วยกัน จะทำให้มองเห็นความหมายที่เพิ่มขึ้นได้
#ไม่ได้ตั้งไว้ก่อนว่าตรงนี้ควรจะเป็นอย่างไร (ถ้าตั้งไว้ก่อน เรียก deductive approach)
#หลังจากวิเคราะห์ ข้อมูลที่ได้มาบอกอะไรเราบ้าง ข้อมูลดิบนำเราไปสู่อะไร
Tacit knowledge ความรู้ฝังลึก
Explicit knowledge ความรู้เด่นชัด
Tacit culture ฝังอยู่ในตัวคน เวลาไปเก็บข้อมูลจะไม่ค่อยได้ จะออกมาก็เมื่อมีวิกฤต เช่น เหตุการณ์น้ำท่วม ทำให้คนช่วยกัน
Explicit culture เห็นเด่นชัด
III หลักเกณฑ์โดยทั่วไป
- การหาแบบแผน (pattern-matching ) อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นซ้ำๆกัน เรียกว่า แบบแผน แบ่งเป็น
1.1 Universal patterns (แบบแผนหลักๆ) สิ่งที่คนส่วนใหญ่ประพฤติปฏิบัติ
normative behavior พฤติกรรมที่คนส่วนใหญ่ไม่ทำกัน
1.2 แบบแผนรอง (Competitive/rival pattern) ไม่ไปด้วยกันกับแบบแผนหลัก
เป็นการฉายภาพให้ผู้อ่านเห็น
- การหาคำอธิบาย (explanation building)
2.1 การหาคำอธิบายโดยใช้ข้อมูลที่มีอยู่เป็นอธิบาย (first ordered interpretation) เป็นข้อมูลจากภาคสนาม insider’s views หรือ phenetic
2.2 คำอธิบายที่ผู้วิจัยเป็นผู้วิเคราะห์และให้คำอธิบาย เรียกว่า outsider’s views หรือ ETIC’s views หรือ Phonetic
2.3 ใช้ทฤษฎีที่ผู้อื่นสร้างไว้มาอธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น
2.4 สร้างทฤษฎีใหม่จากโครงการวิจัยของผู้วิจัยเอง มาอธิบายปรากฏการณ์
grounded theory ทฤษฎีฐานราก ของ Glazer & Strauss (1976) ไม่ใช่ทฤษฎี
ระดับ ….3+4
พื้นผิว…… 2
Underlying …….1
- การวิเคราะห์โดยการแบ่งเวลาเป็นช่วงๆ (Time – series analysis)
กรณี ที่มีการศึกษาแบบแบ่งกลุ่ม (ที่ต่อเนื่องกัน เช่น แบ่งตามช่วงอายุ แบ่งตามความสามารถในการช่วยเหลือตนเอง) ตัวแทนแต่ละกลุ่มจะต้องมีภูมิหลังคล้ายกัน วิเคราะห์ตัวแทนแต่ละกลุ่ม ให้ครบทุกกลุ่ม แล้วเอาสิ่งที่วิเคราะห์ทุกกลุ่มมาต่อกัน ก็จะเป็นเรื่องราวทั้งหมดที่ต่อเนื่องกันในภาพรวม ….String analysis
IV เทคนิคในการวิเคราะห์ (ตัวช่วย)
- การปรับเปลี่ยนแนวคิดตามข้อมูลเชิงประจักษ์ (successive approximation)
- ตอนที่เริ่มต้นทำงาน อาจจะมีแนวคิดคร่าวๆ (หรืออาจจะตั้งสมมติฐานก็ได้ ) แต่ต้องปรับเปลี่ยนได้
- เมื่อได้ข้อมูลมาจะต้องปรับเปลี่ยน ขยาย
- เก็บข้อมูลเพิ่มเติม แล้ววิเคราะห์เพิ่มเติม
*สมมติฐานเปลี่ยนไปเรื่อยๆจนกว่าจะอยู่ตัว (แบบแผนอยู่ตัว ไม่ใช่ข้อมูลดิบ) saturation… อิ่มตัว/ตกผลึก นิ่ง ไม่เปลี่ยนแปลงแล้ว*
2. Illustrative model การวิเคราะห์เพื่อแสดงตัวอย่าง
มีโมเดล/ทฤษฎี อยู่แล้ว เก็บข้อมูล/วิเคราะห์ เพื่อแสดงให้เห็นเป็นตัวอย่าง
3. Domain analysis การวิเคราะห์โดยการจัดกลุ่ม
-Folk domains การจัดกลุ่มแบบพื้นบ้าน เช่น ยอดตำลึงกับฟักทองอยู่ด้วยกัน เพราะมียอดเหมือนกัน
-Mixed domains ผสมระหว่างพื้นบ้านกับทฤษฎี เช่น ตำลึง กับฟักทอง เพราะมีวิตามินเอสูง
-Analytic domain
4. Analytic comparison การวิเคราะห์เปรียบเทียบ จะต้องมีข้อมูลอย่างน้อย 2 กลุ่ม เพื่อเปรียบเทียบ (การเปรียบเทียบ เป็นหัวใจสำคัญของการวิเคราะห์เชิงคุณภาพ)
-method of agreement มิติ /พฤติกรรม อะไรบ้างที่เหมือนกัน แล้วอธิบาย ด้วยเหตุผล
-method of difference ดูว่า มิติ/พฤติกรรมอะไรบ้างที่ต่างกัน แล้วอธิบายด้วยเหตุผล
5. Ideal type การ วิเคราะห์โดยการตั้งเกณฑ์มาตรฐาน คือเรามีข้อมูลชุดเดียว ทำให้เราต้องตั้งเกณฑ์ไว้ก่อน วิธีแรก คือ ยืมเกณฑ์ที่เขาตั้งไว้แล้ว กรณีที่ไม่มีของใคร ก็ตั้งเกณฑ์ของเราเองไว้ก่อนที่สมบูรณ์ที่สุด ซึ่งอาจจะมี Ideal type หลายตัวได้ แบ่งออกเป็น
-Contrast การเปรียบเทียบ เอาข้อมูลที่มีอยู่เปรียบเทียบกับเกณฑ์ที่ตังไว้ ดูว่ามีความต่างอะไรบ้าง แล้วอธิบายด้วยเหตุผล
|